นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ Navigating Economic Challenges : The Future of Fiscal Policy ฝ่าพายุเศรษฐกิจไทยด้วยนโยบายการคลัง" ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาการลงทุนลดลงเหลือไม่ถึง 20% ของ GDP จากก่อนหน้านี้ที่ 40% ของ GDP ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจลดลง โดย GDP เฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.9% เท่านั้น ขณะที่ในปี 67 คาดว่า GDP จะขยายตัวได้ที่ 2.7% ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7-0.8% เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงาน และสะท้อนไปยังสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงที่ 89-90% ของ GDP โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ซึ่งยอมรับว่ามีความน่าเป็นห่วง ขณะที่ผู้ประกอบการ SME ก็กำลังประสบปัญหามีหนี้อยู่ในระดับสูง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลให้รัฐจำเป็นต้องเร่งนำงบประมาณมาอุดหนุนจุนเจือ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ ปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ราว 65-66% ของ GDP หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 12 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่า GDP ของประเทศอยู่ที่ 18-19 ล้านล้านบาท จากเพดานหนี้ที่ 70% ของ GDP สะท้อนว่าพื้นที่ทางการคลังของรัฐบาลมีอยู่ค่อนข้างจำกัด โดยรัฐบาลยังเหลือความสามารถในการกู้เงินเพิ่มเพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ เพิ่มการลงทุนได้อีกราว 3-4% เท่านั้น คิดเป็นวงเงินที่ 3 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี หรือเฉลี่ยรัฐบาลสามารถกู้เพื่อชดเชยขาดดุลได้ปีละ 7.5 แสนล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3.5%
"การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล จำเป็นจะต้องคำนึงถึงวินัยทางการคลังให้มากขึ้น เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินเยอะ สร้างหนี้เยอะ ก็ต้องสร้างวินัยด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราตั้งกติกาว่าหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 70% ของ GDP แต่วันนี้หนี้สาธารณะมาที่ 65-66% แล้ว โอกาสในการจะกู้เงินเพิ่มในอีก 4 ปีข้างหน้าก็เหลือน้อยลง คือรัฐจะมีหนี้เพิ่มได้อีก 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น โดยหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 15 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี โดยเมื่อมองไปข้างหน้าหากรัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน ก็อยากจะเห็นว่าช่วยกันทำให้ GDP ขยับขึ้นไปเป็น 3-3.2% ได้ อัตราเงินเฟ้อ 2% หรือมากกว่า แม้จะตั้งกรอบไว้ในใจที่ 1.2-1.8% ซึ่งหากทุกฝ่ายช่วยกันก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสภาพคล่องจำนวนมาก แต่ไม่มีการลงทุน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทุกคนทราบดี ไทยจึงเหมือนเศรษฐีฐานะดีแต่ไม่เห็นอนาคต เพราะไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะเดินไปทางไหน ตอนนี้คือการกินบุญเก่า แต่เมื่อวันหนึ่งก็ต้องหมดเวลา แม้ภาพการส่งออกจะยังเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานผลักดันเศรษฐกิจได้ แต่หากยังเป็นการส่งออกในรูปแบบเก่า เทคโนโลยีเดิม ๆ ไม่มีการลงทุนใหม่ เครื่องจักรใหม่ ตรงนี้ก็จะเป็นปัญหา
ดังนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลจึงเร่งดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุน ทั้งการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลต้นทุนพลังงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ
รวมทั้ง รัฐบาลยังเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนต่าง ๆ เช่น Entertainment Complex โดยต้องสร้างจุดไฮไลท์ในการท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้เงินมากขึ้น การวางแผนระบบน้ำ การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่าง ๆ โดยการดำเนินการทั้งหมดจะต้องใช้งบประมาณภาครัฐอย่างจำกัด ดังนั้น การใช้เงินในส่วนนี้ก็ต้องมาจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 เรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการโดยบรรจุไว้ในแผนงบประมาณ คือ
1. การเพิ่มทักษะแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่
2. การเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจสีเขียว หรือพลังงานสีเขียว
3. การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุน
ขณะเดียวกัน ยังต้องวางระบบการออมเงินในประเทศ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งปัจจุบันผู้สูงวัยยังไม่มีเงินออมรองรับจำนวนมาก ตลอดจนลดระบบการทำงานที่ซ้ำซ้อนของภาครัฐ ปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี เป็นต้น