นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนต.ค. 67 อยู่ที่ระดับ 89.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 87.1 ในเดือนก.ย. 67 เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย ขณะที่ภาครัฐเร่งฟื้นฟู และเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชน รวมถึงโครงการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบาง ส่งผลดียอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในบ้าน และอุปกรณ์การเกษตร และปุ๋ยเคมี
ด้านธนาคารพาณิชย์ เริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ภายหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.50% สู่ระดับ 2.25% ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการลดลง
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ขยายตัวต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-27 ต.ค. 67 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย จำนวน 28.378,473 คน สร้างรายได้ประมาณ 1,325,359 ล้านบาท
ส่วนภาคการส่งออกขยายตัวต่อเนื่องเช่นกันตามอุปสงค์ในตลาดโลก และจากความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป อินเดีย และอาเซียน เป็นต้น โดยการส่งออกในเดือนก.ย. 67 มีมูลค่า 25,983.2 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 1.1% รวมถึงอัตราค่าระวางเรือ (Freight rate) ขนส่งสินค้าปรับตัวลดลงในเส้นทางสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการลดลง
นายนาวา กล่าวว่า ภาคเอกชนคลายความกังวลลงจากช่วงก่อนหน้านี้ อย่างเรื่องค่าเงินบาท แม้จะมีทิศทางแข็งค่าแต่ยังมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ไทยเกินดุลการค้าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้แล้ว 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ในปี 66 เกินดุลราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าทั้งปี 67 จะเกินดุลการค้าราว 4.2-4.3 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ในเดือนต.ค. ยังมีปัจจัยลบจากกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ จากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะหนี้เสีย (NPL) ที่เพิ่มขึ้น 13.3% YoY อยู่ที่ระดับ 1.18 ล้านล้านบาท สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงเดือนก.ย. และต.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบสินค้าเกษตรเพิ่มสูงขึ้น สินค้าวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน
นอกจากนี้ สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาด ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศโดยเฉพาะ SMESs รวมไปถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทย และสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจการค้าโลก
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 98.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 96.7 ในเดือนก.ย. 67 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และโครงการลงทุนและการก่อสร้างต่าง ๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 67 การส่งออก ฟื้นตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก การท่องเที่ยว มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และการเข้าสู่ฤดูหนาวในทวีปยุโรป
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังคงห่วงกังวล ได้แก่ สถานการณ์ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจการค้าหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในพื้นที่ต่างๆ ยังเป็นความเสี่ยงต่อภาคการส่งออก
"ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากความเชื่อมั่นในรัฐบาล แม้ช่วงที่ทำการสำรวจจะเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง สามารถตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของภาคเอกชนได้รวดเร็ว ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนขึ้นไปสูงสุดในรอบ 7 เดือน" นายนาวา กล่าว
ส.อ.ท.มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
1. เสนอให้สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs อาทิ ผ่อนปรนเรื่องการขาดทุนปีล่าสุด โดยให้พิจารณากำไรจากการดำเนินงานในรูปของเงินสด (EBITDA) ของบริษัทปีล่าสุด เป็นต้น
2. เสนอให้ภาครัฐจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
3. ออกมาตรการทางภาษีและการเงิน เพื่อกระตุ้นการซื้อรถยนต์ภายในประเทศ และเร่งการจัดซื้อภาครัฐในหมวดพาหนะ ปี 2568
4. เสนอให้ภาครัฐบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค และการแข่งขันทางการค้าอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเข้มงวดในการตรวจจับสินค้านำเข้า ราคาถูกที่ไม่ได้คุณภาพ
ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้กระตุ้นเตือนรัฐบาลทุกช่องทางตลาดเวลา เพราะปัญหาเหมือนน้ำหลาก พอไปเจอกำแพงทางสหรัฐและสหภาพยุโรปก็จะไหลเข้ามาบ้านเรา หากไม่มีกำแพงสูงไว้ป้องกันก็จะเกิดความเสียหาย ขณะเดียวกันก็ได้ประสานกับทางทูตจีนให้ช่วยดูแลอีกทาง หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากให้ใช้มาตรการรุนแรงตอบโต้