นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปประชุมหารือร่วมกับ รมช.คมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานของตุรกี และ H.E. Mr. Osman Boyraz CEO ของบริษัท TRASA รัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับของกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานตุรกี ณ เมืองซากาย่า สาธารณรัฐตุรกี พร้อมกันนี้ ยังได้เยี่ยมชมแนวทางการการออกแบบ ผลิต และแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถไฟภายในประเทศด้วย
ทั้งนี้ TRASA มีความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีผลิตรถไฟกับบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีการขนส่งทั่วโลก เช่น HYUNDAI ALSTOM และ SIEMENS ภายใต้แผนพัฒนาที่ 11 ของรัฐบาลตุรกี Eleventh Development Plan (2019- 2023) ได้กำหนดให้ประเทศตุรกีพัฒนาการผลิตรถไฟภายในประเทศ ลดการนำเข้า และเน้นการใช้อะไหล่และวัสดุภายในประเทศ TRASA ได้ดำเนินการตามแผนดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับบริษัท Blue Engineering S.p.L ของอิตาลี
ภายหลังเริ่มสายการผลิตรถไฟในปี 2562 บริษัท TRASA ได้พัฒนารถไฟฟ้าความเร็ว 160 กม./ชม. ตามมาตรฐานยุโรป และส่งมอบให้การรถไฟตุรกีนำไปให้บริการต่อไป โดยผลจากการการพัฒนาดังกล่าวทำให้มีการผลิตรถไฟขึ้นในตุรกี ราคาถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศถึง 20% และสามารถเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศจากเดิม 10% ขึ้นเป็น 75% อีกทั้ง TRASA ยังมีเป้าหมายการผลิตรถไฟ ให้ได้รวม 56 ขบวน (280 คัน) ภายในปี 2573
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องการมุ่งเน้นให้มีการจัดทำโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) เพื่อเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านระบบราง ดังนั้น กระทรวงคมนาคม จึงมีนโยบายให้การขนส่งทางรางเป็นการขนส่งหลักของประเทศ เพื่อให้ต้นทุนราคาค่าขนส่งของประเทศถูกลง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งได้มอบนโยบายให้สำนักงานวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีระบบราง (สทร.) เป็นแกนหลักทำงานร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกระทรวงอุตสาหกรรม นำความรู้แนวทางจากการดำเนินการที่เรียนรู้จากประเทศตุรกี ไปดำเนินการให้เกิดการผลิตรถไฟและหัวรถจักรขึ้นในประเทศไทย ทดแทนการสั่งซื้อนำเข้าจากต่างประเทศโดยเร็ว เพื่อให้การพัฒนาการบริการขนส่งด้วยระบบรางของประเทศมีความยั่งยืนตามนโยบายดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง รวมถึงรถไฟฟ้าในเขตเมืองหลายเส้นทาง ทำให้มีความต้องการที่จะต้องจัดหาหัวรถจักรและขบวนรถไฟอีกจำนวนมาก ดังนั้น จำเป็นต้องผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการออกแบบและผลิตรถไฟด้วยตนเอง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนการผลิตและการบำรุงรักษาระหว่างการใช้งานที่ถูกกว่าการนำเข้า อีกทั้ง สามารถผลิตให้ตรงกับความต้องการของ รฟท. และสามารถรองรับการผลิตตามคำสั่งซื้อในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย
นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคเอเชีย และมีศักยภาพในการผลิตสูง ทำให้มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ แรงงานฝีมือ และประสบการณ์ ที่จะผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ในอุตสาหกรรมระบบราง หากมีการจัดตั้งโรงงานผลิตรถไฟขึ้นในประเทศไทย จะเป็นธุรกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับ รฟท.รวมไปถึง การพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่รถไฟภายในประเทศ ปรับเปลี่ยนพัฒนาและสร้างผู้ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ของไทยที่เข้มแข็งมาสู่อุตสาหกรรมราง สร้าง Supply Chain ของอุตสาหกรรมไทยได้ทั้งระบบการใช้ Local Contents จากผู้ผลิตไทย จะช่วยสร้างเศรษฐกิจ New S Curve ใหม่ให้กับประเทศอีกด้วย