บสย.คาดยอดค้ำสินเชื่อปีนี้แตะ 4.5 หมื่นลบ. เร่งยกระดับกลไกค้ำประกันดัน SME หนุนศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday November 24, 2024 15:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บสย.คาดยอดค้ำสินเชื่อปีนี้แตะ 4.5 หมื่นลบ. เร่งยกระดับกลไกค้ำประกันดัน SME หนุนศก.

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน 10 เดือนของปี 67 (ม.ค.-ต.ค.) บสย. มียอดค้ำประกันสินเชื่อ 43,228 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้น 76,840 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) ในสัดส่วนสูงถึง 90% ค้ำประกันเฉลี่ย 90,000 บาทต่อราย ที่เหลือ 10% เป็นกลุ่ม SMEs ค้ำประกันเฉลี่ย 4.78 ล้านบาทต่อราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 46,775 ล้านบาท รักษาการจ้างงาน 3.98 แสนตำแหน่ง และก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 177,056 ล้านบาท ภายใต้ 3 โครงการหลัก ได้แก่

บสย.คาดยอดค้ำสินเชื่อปีนี้แตะ 4.5 หมื่นลบ. เร่งยกระดับกลไกค้ำประกันดัน SME หนุนศก.

1. โครงการตามมาตรการรัฐ วงเงิน 25,057 ล้านบาท คิดเป็น 58% ของยอดค้ำประกัน ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 71,570 ราย

2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) วงเงิน 9,893 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของยอดค้ำประกัน ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 1,543 ราย

3. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ ดำเนินการโดย บสย. วงเงิน 8,278 ล้านบาท คิดเป็น 18% ของยอดค้ำประกัน ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 4,481 ราย

"10 เดือนแรกปีนี้ บสย.มียอดค้ำประกัสินเชื่อแล้วประมาณ 43,000 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีมีโอกาสแตะ 45,000 ล้านบาท...ซึ่งทุกๆ การค้ำประกัน 1 บาท สามารถสร้าง multiplyer ในระบบเศรษฐกิจได้ 4 เท่า" นายสิทธิกร ระบุ
บสย.คาดยอดค้ำสินเชื่อปีนี้แตะ 4.5 หมื่นลบ. เร่งยกระดับกลไกค้ำประกันดัน SME หนุนศก.
*ยอดค้ำประกัน PGS 11 ทะลุ 2 หมื่นล้าน ช่วยรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อ

สำหรับโครงการหลัก PGS 11 "บสย. SMEs ยั่งยืน" ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม ตั้งแต่เปิดโครงการถึง 31 ตุลาคม 2567 มียอดค้ำประกัน 20,131 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 19,039 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่ไม่เคยใช้บริการ บสย. ถึง 73% (ลูกค้าใหม่) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Micro SMEs สะท้อนว่า โครงการนี้ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือ "กลุ่มเปราะบาง" ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ ที่มีปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อ ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น

ปัจจัยสำคัญมาจากการออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ Micro SMEs ไปจนถึงผู้ประกอบการใหม่ รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ IGNITE THAILAND และธุรกิจที่ปรับตัวเข้าสู่สังคม Carbon ต่ำ รวมถึง SMEs กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จุดเด่นของโครงการ คือ ช่วยลดภาระทางการเงินให้กับ SMEs ด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ โดยโครงการที่ได้รับการตอบรับสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ โครงการ IGNITE BIZ มียอดค้ำประกัน 6,975 ล้านบาท ตามด้วยโครงการ SMART BIZ มียอดค้ำประกัน 6,898 ล้านบาท และ IGNITE ONE มียอดค้ำประกัน 2,689 ล้านบาท

สำหรับประเภทธุรกิจค้ำประกันสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ภาคบริการ 28.8% 2. การผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ 11.4% และ 3. อาหารและเครื่องดื่ม 10% ซึ่งทั้ง 3 อุตสาหกรรมมีสัดส่วนค้ำประกัน 50% สะท้อนถึงทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมหลักในประเทศ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่กิจการต่างๆ เน้นขยายการลงทุนเพื่อรองรับไฮซีซั่น โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมาก

"ยอดค้ำประกันในโครงการ PGS 11 จนถึงเดือนต.ค. ตอนนี้ทะลุ 20,000 ล้านบาทแล้ว คาดว่าอีก 2 เดือนที่เหลือ จะได้อีก 10,000 ล้าบบาท รวมทั้งปี น่าจะแตะ 30,000 ล้านบาท จากที่ บสย.ได้รับการอนุมัติมา 50,000 ล้านบาท" นายสิทธิกร กล่าว
* แก้หนี้ SMEs ที่ถูกจ่ายเคลมสูงสุดรอบ 33 ปี

นายสิทธิกร กล่าวว่า บสย. ยังมีภารกิจสำคัญในการช่วยแก้หนี้ SMEs ที่ถือหนังสือค้ำประกันของ บสย. และถูกจ่ายเคลมจากสถาบันการเงิน ตอบโจทย์นโยบายภาครัฐ ผ่านมาตรการ "บสย. พร้อมช่วย" หรือ มาตรการ 3 สี (ม่วง เหลือง เขียว) ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนเม.ย.65 เป็นมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ บสย. พัฒนาขึ้นตามความสามารถในการชำระหนี้ โดยเปิดกว้างและให้โอกาสลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ปรับตัวต่อลมหายใจ ช่วยรักษาสภาพคล่องระหว่างที่เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้กับ บสย. โดยมีจุดเด่นคือ "ผ่อนน้อย เบาแรง" "ตัดเงินต้น ก่อนตัดดอก" หรือจ่ายเงินต้นบางส่วน คิดอัตราดอกเบี้ย 0% และผ่อนยาว 7 ปี "หนี้ลด หมดเร็ว"

ทั้งนี้ ตั้งแต่ออกมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ในปี 65 ถึงปัจจุบัน บสย. ประสบผลสำเร็จในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อที่ถูกจ่ายเคลมไปแล้วถึง 16,577 ราย (ในปี 2567 ระยะเวลา 10 เดือน จำนวน 3,131 ราย) คิดเป็นมูลหนี้รวมกว่า 10,636 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 33 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย.

นายสิทธิกร กล่าวด้วยว่า ความสำเร็จที่ชัดเจน คือ ช่วยเหลือลูกหนี้ที่อยู่ในมาตรการกลุ่มสีเขียวให้สามารถปลดหนี้ และเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ ผ่านมาตรการ "ปลดหนี้" (สีฟ้า) จำนวน 126 ราย โดยมีแนวโน้มที่ลูกหนี้ที่ต้องการ "ปลดหนี้" ผ่านมาตรการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (มาตรการปลดหนี้ เริ่มเมื่อเดือนม.ค.67 เป็นมาตรการช่วยลูกหนี้กลุ่มสีเขียวที่ผ่อนชำระดี 3 งวดติดต่อกัน และต้องการปลดหนี้ โดย บสย. ลดเงินต้นให้ 15%)

* เร่งยกระดับการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs

นายสิทธิกร กล่าวว่า บสย. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ Korea Credit Guarantee Fund (KODIT) และ Korea Technology Finance Corporation (KOTEC) สถาบันค้ำประกันสินเชื่อของสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับและพัฒนาการค้ำประกันสินเชื่อในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ การบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนทางการเงินให้กับ SMEs

รวมทั้งยกระดับเครดิต การันตี โมเดล โดยใช้ข้อมูลทางเลือกอื่น ๆ ของผู้ประกอบการ SMEs เช่น รูปแบบการใช้จ่าย และพฤติกรรมการชำระเงิน มาคำนวณคะแนนเครดิตค้ำประกันสินเชื่อ (Alternative Credit Scoring Model) พร้อมนำโมเดลดังกล่าวไปใช้กับรูปแบบธุรกิจใหม่ พร้อมยกระดับการดำเนินงาน ตลอดจนการช่วยเหลือกลุ่ม SMEs ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือกลุ่มสตาร์ทอัพ

"การทำ MOU ดังกล่าว จะช่วยขยายศักยภาพ และสร้างความพร้อมของการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. โดยขยายรูปแบบการค้ำประกันสินเชื่อ จากปัจจุบันที่ค้ำประกันและจ่ายเคลมเป็นรายพอร์ต (Portfolio Guarantee Scheme : PGS) เป็นการค้ำประกันตรงและจ่ายเคลมเป็นสัดส่วนรายฉบับ (Direct and Individual Guarantee) โดย บสย. จะเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการตรง ตั้งแต่การตรวจสอบข้อมูล การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล การคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) ซึ่งจะทำให้ บสย. ขยายขอบเขตให้ความช่วยเหลือ SMEs ได้มากขึ้น ครอบคลุมความต้องการ SMEs ในทุกมิติของการค้ำประกันสินเชื่อ Credit Guarantee" กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ระบุ

* เพิ่มศักยภาพการช่วยเหลือ SME ในภูมิภาคเข้าถึงแหล่งทุน

นายสิทธิกร กล่าวว่า อีกบทบาทที่สำคัญของ บสย. คือ มุ่งพัฒนาศักยภาพของ SMEs ในประเทศไทย ผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยตั้งแต่เดือนส.ค.63 -31 ต.ค.67 มีการให้ความรู้ทางการเงินแก่ SMEs รวม 22,141 ราย แบ่งเป็นการให้คำปรึกษา 6,793 ราย และการอบรม 15,348 ราย คิดเป็นความต้องการสินเชื่อรวม 17,107 ล้านบาท โดยสามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบ (Success rate) คิดเป็น 18.32%

นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือ SMEs แต่ละภูมิภาค บสย. ได้เดินหน้ายกระดับสำนักงานเขตทั่วประเทศ (Branch Reformat) สู่ "ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs" ให้คำปรึกษาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การแก้ปัญหาหนี้ และความรู้ทางการเงินร่วมกับการให้บริการผ่าน LINE OA : @tcgfirst เพิ่มความสะดวกให้ SMEs สามารถเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษา และลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการต่างๆ ของ บสย. ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

รวมทั้ง บสย. ได้ยกระดับ Transforms องค์กรในด้านต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือ SMEs ในประเทศไทย และเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายภาครัฐ สู่การจัดตั้ง "สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ" (NaCGA : National Credit Guarantee Agency) โดยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คู่ขนานไปกับการยกร่างกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ