นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ระบบการประเมินผลทั้งสิ้น 51 แห่ง หลังจาก สคร.กำหนดกรอบการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ 3 ด้านหลัก คือ การดำเนินการตามนโยบาย ผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และการบริหารจัดการองค์กร ที่จะเป็นเครื่องมือและกลไกสำคัญที่ช่วยให้รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการเงิน การบริการ กระบวนการทำงาน และการบริหารจัดการต่าง ๆ ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ระบบประเมินผลฯ ยังมีส่วนช่วยในการรองรับยุทธศาสตร์ในการแข่งขันและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรัฐวิสาหกิจและประเทศ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ต้องแข่งขันกับเอกชนทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งภาพรวมปี 2550 ถ้าวัดจากระบบการประเมินผล รัฐวิสาหกิจมีผลประกอบการทางการเงินที่ดี ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจและมีการบริหารจัดการในภาพรวมที่เป็นระบบและมีมาตรฐาน โดยได้รับผลการประเมินเฉลี่ยประมาณ 4.5
รัฐวิสาหกิจที่โดดเด่นในปี 2550 ได้แก่ ปตท. ธนาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) . การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การประปานครหลวง (กปน.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยทุกแห่งมีผลการดำเนินงานด้านการเงินและด้านที่ไม่ใช่การเงิน อาทิ คุณภาพการบริการ การรักษามาตรฐานของการดำเนินงานที่ดีขึ้น
สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ผลการดำเนินงานยังไม่ดีพอ หรือยังประสบกับสภาวะขาดทุน ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวว่า สคร.ได้ผลักดันระบบประเมินผลให้มีการปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น หรือเพื่อลดการขาดทุนลง โดยการกำหนดเป้าหมายเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นกว่าเดิม หรือการกำหนดให้รัฐวิสาหกิจจัดทำแผนพลิกฟื้น และมีการวัดประเมินการดำเนินการตามแผนพลิกฟื้นเพื่อยกระดับให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
ขณะเดียวกันรัฐวิสาหกิจได้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การลงทุนของประเทศ โดยได้มีการกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนไว้เป็นตัวชี้วัดหนึ่งในบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่องมาตลอด
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร โทร.0-2253-5050 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--