ภาวะการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 พ.ค.) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี และหลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สกุลเงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.9472 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.9465 ดอลลาร์/ปอนด์ ขณะที่ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.5460 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.5475 ดอลลาร์/ยูโร
หากเทียบกับสกุลเงินเยนและฟรังค์ ดอลลาร์อ่อนตัวลงแตะระดับ 104.60 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 105.04 เยน/ดอลลาร์ แต่แข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 1.0558 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0543 ฟรังค์/ดอลลาร์
มหาวิทยาชัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 59.5 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีพ.ศ.2523 เป็นต้นมา และทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) เหมือนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวแต่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น
ผลสำรวจระบุว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐร่วงลงเนื่องจากราคาอาหารและพลังงานพุ่งสูงขึ้น โดยผู้บริโภคที่มองว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอยมีจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นได้ในเร็วๆนี้แทบจะไม่มี
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 2.17 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 126.29 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดระดับใหม่ เนื่องจากความพยายามของสหรัฐอเมริกาและซาอุดิอาระเบียในการเพิ่มอุปทานยังไม่เป็นที่น่าพอใจ และทำให้นักลงทุนเชื่อว่ามีโอกาสที่ราคาจะขยับสูงขึ้นอีก
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--