แกนนำกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (ERS) นำโดย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายคุรุจิต นาครทรรพ นายพรายพล คุ้มทรัพย์ แจง 3 เหตุผลหลัก ควรมีการแก้ไขปรับปรุงร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024)
1. คาดการณ์ความต้องการไฟฟ้าของไทยใน 14 ปีข้างหน้าสูงเกินไป อันจะนำไปสู่การเพิ่มกำลังผลิตและสร้างโรงไฟฟ้าใหม่มากเกินความจำเป็น เพราะทำให้เกิดการวางแผนลงทุนสร้างกำลังผลิตใหม่ที่ไม่มีความคุ้มค่า และเป็นต้นทุนแฝงที่จะเป็นภาระต่อผู้บริโภคภายใต้ระบบการกำหนดค่าไฟฟ้าในปัจจุบันที่ต้นทุนทั้งหมดจะถูกนำไปคำนวณรวมผ่านไปสู่ผู้บริโภค
2. ควรส่งเสริมไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีความเสถียร (Renewables with Reliability) อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อช่วยทดแทนพลังงานจากฟอสซิลและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน แต่ทั้งนี้ราคาขายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนดังกล่าวควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ควรกำหนดให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังลมต้องพ่วงการติดตั้งแบตเตอรี่หรือระบบจัดเก็บพลังงานเพราะต้นทุนได้ลดลงมากและยังมีแนวโน้มลดลงอีก ควรใช้ระบบการประมูลด้านราคาไฟฟ้าเสนอขายเป็นปัจจัยหลักในการคัดเลือกโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ อีกทั้งนำระบบจัดเก็บภาษีคาร์บอนและระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) มาใช้ในภาคผลิตไฟฟ้าโดยเร็ว เพื่อการพิจารณาที่รอบด้าน ไม่ให้เกิดการลงทุนที่เสียเปล่า (Stranded Assets) ซึ่งจะเป็นภาระต่อผู้บริโภคในระบบที่เป็นอยู่ เพราะในปัจจุบันคิดแต่ต้นทุนทางการเงินเท่านั้น (ดูประเด็นเพิ่มเติมในแถลงการณ์)
3. การปรับปรุงโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในประเทศให้มีการแข่งขันเสรี ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถขายไฟฟ้าตรงให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยใช้บริการสายส่งและสายจำหน่ายของการไฟฟ้า (Third Party Access: TPA) โดยมีการคิดค่าบริการผ่านสายส่ง/จำหน่าย (Wheeling Charges) ที่เป็นธรรม ซึ่งในภาวะที่กำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ในระดับสูงเช่นปัจจุบัน ค่าไฟฟ้าควรที่จะลดลงตามกลไกของอุปทานอุปสงค์หากกิจการไฟฟ้ามีการแข่งขันที่เสรี ทั้งนี้จะต้องแยกระบบสายส่งไฟฟ้าและศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) ให้เป็นอิสระจากการผลิตไฟฟ้า และมีกลไกในการสร้างความสมดุลในระบบไฟฟ้า โดยกำลังผลิตใหม่ไม่ควรเป็นลักษณะของสัญญาซื้อขายระยะยาว (PPA) เช่นในปัจจุบัน ในระบบเสรีจะไม่มีการประมูลและคัดเลือกกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ ทั้งเอกชนและ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือรัฐวิสาหกิจสามารถจะลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าได้อย่างอิสระ แต่ความเสี่ยงทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้ผลิตไฟฟ้า แผน PDP2024 ควรเริ่มเตรียมการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบแข่งขันเสรีได้แล้ว อาทิ มีการประมูลราคาก่อนทำสัญญาซื้อขาย สัญญาใหม่ต้องมีเงื่อนไขให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับระบบเสรีได้ เป็นต้น อนึ่ง โครงการยักษ์อย่างเช่น Digital Hub จะต้องสามารถเลือกทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านระบบสายส่งได้ด้วย
นอกจากนี้ กลุ่ม ERS ยังแจงเหตุผลประเด็นอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ ควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ในกรณีที่ต้องสนองความต้องการไฟฟ้าในภาคใต้ แผน PDP2024 ควรใช้วิธีประเมินต้นทุนรวมและเปิดประมูลราคาเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ด้วย เช่น สร้างโรงไฟฟ้าก๊าซที่นำเข้า LNG ในภาคใต้ หรือเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียน (รวมถึงชีวมวลและไฟฟ้าจากขยะ) ในภาคใต้ ไม่ใช่เพียงกำหนดให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในภาคตะวันตกซึ่งทำให้เอกชนบางรายได้เปรียบ ERS เห็นว่าพลังงานนิวเคลียร์เป็นทางออกที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหากประเทศไทยจะไปให้ถึง Net Zero จึงเห็นด้วยกับ PDP2024 ที่กำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR แต่ย้ำว่าต้องเตรียมการล่วงหน้าให้ครบถ้วน นอกจากนี้ไม่ควรให้ กฟผ. รับภาระค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลไม่ให้ขึ้น เพราะในที่สุดก็จะต้องเป็นภาระต่อผู้บริโภคอยู่ดี