ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสินเชื่อธุรกิจ จากฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้นิติบุคคล ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสถิติที่ไม่ระบุตัวตนของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) จำนวนบัญชีเฉลี่ย 1.7-1.8 ล้านบัญชีต่อไตรมาส ด้วยข้อมูลล่าสุดถึงไตรมาส 2/2567 พบ 5 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. คุณภาพของหนี้ธุรกิจไทย กลับมาถดถอยลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 หลังหมดแรงส่งมาตรการช่วยเหลือทางการเงินช่วงโควิด-19
ภาพรวมคุณภาพหนี้ของธุรกิจไทย ตามฐานข้อมูลของ NCB นั้น พบว่า แม้หากเทียบหลังวิกฤตโควิด-19 จะเห็นทิศทางคุณภาพหนี้โดยรวมที่ดีขึ้น นั่นคือ สัดส่วนหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป มีสัดส่วนที่ลดลงจากจุดสูงสุดหลังโควิดที่ 7.18% ณ ไตรมาส 1/2563 เข้าหาระดับ 4.60-4.70% ในช่วงระหว่างปี 2566 ตามอานิสงส์ของมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ออกมาเพื่อเยียวยาในช่วงโควิด แต่สัดส่วนดังกล่าว ก็พลิกกลับมาขยับขึ้นในช่วงต้นปี 2567 จนแตะระดับ 5.02% ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 เมื่อหมดแรงส่งของมาตรการ กอปรกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบางและไม่ทั่วถึง
2. ธุรกิจยิ่งเล็ก ปัญหาหนี้เสียยิ่งรุนแรง
เมื่อพิจารณาสัดส่วน NPL จำแนกตามขนาดธุรกิจ พบว่า หนี้ที่เพิ่งมีวันค้างชำระ (1-30 วัน) และหนี้ NPL (ค้างชำระเกิน 90 วัน) เรียงตามสัดส่วนจากมากไปน้อย จะเป็นธุรกิจขนาด Super Micro, Micro, Small และ Medium ซึ่งการเรียงตามช่วงระยะเวลาที่ประเด็นคุณภาพหนี้เริ่มถดถอยลง ก็ไล่เรียงจากธุรกิจขนาดจิ๋วมาที่ขนาดเล็กและกลางเช่นเดียวกัน สะท้อนความอ่อนไหวของภาคธุรกิจต่อปัจจัยแวดล้อมที่มากขึ้น เมื่อธุรกิจมีขนาดที่เล็กลง
3. สถาบันการเงินทุกประเภทเผชิญผลกระทบชัดเจนขึ้น
เมื่อเจาะภาพหนี้ที่เพิ่งพ้นกำหนดชำระหนี้ไม่เกิน 30 วันสำหรับขนาดธุรกิจ Super Micro, Micro และ Small อันเป็นกลุ่มที่มีปัญหารุนแรงที่สุด เพื่อวัดสถานการณ์ปัญหาหนี้ที่เพิ่งเริ่มต้นเสียนั้น ชี้ว่าสถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อ (ที่เป็นสมาชิกของ NCB) ต่างก็เผชิญปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพที่ปรับตัวสูงขึ้นถ้วนหน้า (ไม่จำกัดเพียงแค่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเท่านั้น) โดยเฉพาะบริษัทลิสซิ่ง และสินเชื่อเช่าซื้อ ตามมาด้วยบริษัทบัตรเครดิต และสินเชื่อ Consumer Finance และบริษัทประกัน ที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน เพิ่มขึ้นแตะ 5.04%, 4.27% และ 3.44% ตามลำดับ
4. เจาะกลุ่มปัญหาเรื้อรัง พบปัญหาหนักกว่าพอร์ตรวม ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางน่าห่วงมากขึ้น
เพื่อให้สามารถประเมินสาเหตุ และทิศทางสถานการณ์คุณภาพหนี้ของภาคธุรกิจได้แม่นยำมากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้กรองบัญชีสินเชื่อธุรกิจที่มีข้อมูลย้อนหลังเป็นระยะเวลา 3 ปี (ขจัดกลุ่มธุรกิจที่เกิดใหม่และหายไประหว่างปี จากเหตุผลต่าง ๆ ออกไป) โดยได้กลุ่มตัวอย่างประมาณ 6.5 แสนบัญชี เพื่อนำมาศึกษาปัญหาการชำระหนี้ที่เริ่มมีสัญญาณล่าช้า ซึ่งเรียกว่าเป็นกลุ่มที่มีสัญญาณของ "ปัญหาหนี้เรื้อรัง" นั้น พบว่า สัดส่วนหนี้ค้างชำระทุกระยะ ต่อสินเชื่อรวมของธุรกิจกลุ่มนี้ อยู่ที่ประมาณ 9.47% ในไตรมาส 2/2567 เพิ่มขึ้นชัดเจนจากระดับ 5.50% ณ ไตรมาส 2/2564 ตามหนี้ชั้น NPL ที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ สัดส่วนของหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระดังกล่าว สูงกว่าของพอร์ตรวมของสินเชื่อธุรกิจซึ่งอยู่ที่ 5.02% อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตอกย้ำว่า ลูกหนี้กลุ่มนี้ ไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ/หรือการเยียวยาปัญหาหนี้ของภาครัฐ และสถาบันการเงินระหว่างทางเท่าที่ควร นอกจากนี้ เมื่อจำแนกตามขนาดธุรกิจที่มีคุณสมบัติเป็นหนี้เรื้อรังนั้น พบธุรกิจขนาด Medium และ Small มีการถดถอยของคุณภาพหนี้ชัดขึ้นกว่ากรณีพอร์ตรวม ซึ่งชี้ว่าปัญหาลามจากธุรกิจขนาดจิ๋ว มาที่ธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลางมากขึ้น
5. ประเภทธุรกิจที่มีปัญหากระจุกตัวอยู่ในธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ที่พักและอาหาร ค้าส่ง-ค้าปลีก และภาคการผลิต ซึ่งสะท้อนปัญหาเฉพาะหน้า และปัญหาเชิงโครงสร้าง
เมื่อพิจารณาในมิติของประเภทธุรกิจ SME กลุ่มที่มีหนี้เรื้อรังแล้ว พบว่า หนี้ที่เพิ่งมีวันค้างชำระ 1-30 วัน จะอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง บริการที่พักและอาหาร ค้าส่งค้าปลีก และภาคการผลิต (เป็นธุรกิจหลักของ SME ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรวมกันถึง 75.8%) อันสะท้อนปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอ และการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จนกดดันยอดขายและคำสั่งซื้อของธุรกิจ มีผลซ้ำเติมความสามารถในการชำระหนี้ นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าธุรกิจบริการที่พักและอาหาร เริ่มกลับมาแย่ลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งสอดคล้องกับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง อันมีผลกับกลุ่มที่พัก และร้านอาหารด้วยเช่นกัน
ส่วนปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีผลให้หนี้ NPL (ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป) ของธุรกิจหลักข้างต้น มีทิศทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดดันอำนาจซื้อ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันกับทุนต่างชาติ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สงครามการค้าที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานต่าง ๆ และเพิ่มกฎระเบียบทางการค้า ซึ่งย่อมจะมีผลกระทบทำให้มีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมาทุ่มตลาดในไทย (อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า หลังจากที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ลดลง) และทำให้ภาคการผลิตในหลายผลิตภัณฑ์ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง ดังนั้น ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ล้วนแล้วแต่กดดันรายได้ และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SME ไทยให้เอาตัวรอดยากขึ้น ในยุคที่โลกการค้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากรากของปัญหายังไม่ถูกแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ปี 2568 จะเป็นอีกปี ที่จะเจอวังวนของปัญหาเดิมปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้น แม้จะเป็นเป็นมาตรวัดลักษณะ Lagging Indicator แต่ทิศทางที่ยังไม่ดีขึ้น ย้ำผลกระทบของปัญหาที่สั่งสมมาหลากหลายประเด็นข้างต้น ซึ่งขมวดกลับไปที่ต้นเหตุของปัญหา คือ สภาพเศรษฐกิจและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการการผลักดัน และความต่อเนื่องของภาครัฐ ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ ๆ
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการเสริมศักยภาพของตัวผู้ประกอบการ และมาตรการปรับโครงสร้างหนี้จากภาคการเงิน เพื่อประคองปัญหาหนี้สินเฉพาะหน้า ดังที่ ธปท.และธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการมาแล้ว อาจสามารถดำเนินการเพิ่มเติมอีกในอนาคต เช่น การขยายเวลาการปรับโครงสร้างหนี้ให้ยาวขึ้นสำหรับกลุ่มที่มีปัญหา ควบคู่ไปกับมีมาตรการช่วยเหลือสถาบันการเงิน เพื่อให้ไปช่วยเหลือลูกหนี้ในกรอบระยะเวลาที่ยาวขึ้น
"ตราบใดที่ต้นเหตุของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ปี 2568 จะเป็นอีกปี ที่เราจะเผชิญกับปัญหาสินเชื่อใหม่ที่เติบโตต่ำ ท่ามกลางตลาดผู้กู้ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ที่จำกัดลง และหนี้ด้อยคุณภาพที่ยังจะมีทิศทางเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ให้บริการสินเชื่อมีภาระในการดูแลหนี้เสียที่ยังสูง กระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ขณะที่ผู้ประกอบการ และครัวเรือนที่ประสบปัญหาเรื้อรัง อาจต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งผลสำรวจของ สสว.ในไตรมาส 3/2567 ชี้ว่าธุรกิจ SME พึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มมากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า" บทวิเคราะห์ ระบุ