นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) มองปี 68 เชื่อว่าหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ในการประชุมวันนี้ น่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.50% ในปีหน้าด้วย 5 ปัจจัย ดังนี้
1. กำลังซื้อครัวเรือนระดับล่างอ่อนแอ
เศรษฐกิจไทยเติบโตในรูปแบบที่ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้มีมากขึ้น มีความเสี่ยงที่คนรายได้น้อย จะยังมีปัญหาขาดรายได้ โดยเฉพาะครัวเรือนภาคเกษตร อีกทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก SMEs ภาคบริการในต่างจังหวัด โดยเฉพาะเมืองที่ไม่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังคงมียอดขายตกต่ำลากยาวต่อเนื่อง ซึ่งจะซ้ำเติมการเข้าถึงสินเชื่อจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง แม้ได้มีมาตรการแจกเงินคนในกลุ่มเปราะบางไปแล้วในปลายไตรมาส 3 ปี 67 แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับไม่คึกคัก และคาดว่าเม็ดเงินที่จะแจกต่อไป อาจไม่ได้ให้คนกลุ่มนี้มากเท่าในอดีต
2. ภาคการผลิตซึมยาว
ดัชนีภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ จากยอดขายรถยนต์ที่หดตัวแรงในปีนี้ แม้เราคาดว่าสถานการณ์ตลาดรถยนต์น่าจะกลับมาทรงตัวได้ในช่วงกลางปี 68 แต่ในช่วงครึ่งแรกของปี กำลังซื้อของแรงงานและคนในอุตสาหกรรมนี้ยังอ่อนแอ รวมทั้งมีความเสี่ยงด้านการส่งออกที่อาจเติบโตช้า ท่ามกลางสงครามการค้าที่อาจกระทบอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะกดดันกำลังซื้อในภาคอุตสาหกรรมได้
3.อัตราเงินเฟ้อต่ำไม่ถึงกรอบล่างนโยบายการเงิน
เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 68 จะเฉลี่ยที่ระดับ 1.0% ซึ่งแตะกรอบล่างของเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 1.0-3.0% แต่หากกำลังซื้ออ่อนแอ จากทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการในกลุ่มที่ไม่ใช่ภาคการท่องเที่ยวแล้ว ราคาสินค้าก็ยากที่จะขยับขึ้นได้ นอกจากปัจจัยด้านอุปสงค์อ่อนแอแล้ว เศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาอื่นที่กระทบผู้ประกอบการไทย
โดยในปี 68 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะลดลง ซึ่งแม้จะช่วยทำให้ต้นทุนสินค้าลดลงตามค่าขนส่ง แต่จากการแข่งขันที่รุนแรง เราห่วงว่าราคาสินค้าอาจปรับย่อลงมากจนกระทบผู้ประกอบการ รวมทั้งสินค้าราคาถูกจากจีนที่ทะลักเข้ามาจนผู้ประกอบการไทยแข่งขันยากลำบาก อาจทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง ซึ่งปัจจัยด้านหลัง อาจไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยที่ลดลงก็น่าจะช่วยพยุงนักธุรกิจไทยได้บ้างในช่วงที่การส่งผ่านของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงไปสนับสนุนกำลังซื้อคนในประเทศ
4. เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำลากยาว
ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ไม่ถึง 3% ในระยะยาวอาจจำกัดไว้ที่ 2.50-3.00% ในอีก 5 ปี และอาจปรับลดลงไปต่ำกว่า2.50% ในภายหน้าที่เศรษฐกิจเสี่ยงโตช้าลงในระยะยาว เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสังคมสูงวัย ขาดแคลนแรงงาน ทักษะแรงงานต่ำ การลงทุนภาคเอกชนต่ำ ขาดนวัตกรรม และอื่น ๆ มากมาย ซึ่งอาจมองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แต่เราก็พอเห็นได้ว่าหากอัตราดอกเบี้ยลดลงได้จริง ก็น่าสนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน และช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะยาว
5. เผชิญสงครามค่าเงิน
สุดท้ายสงครามการค้ามักนำไปสู่สงครามค่าเงิน เพราะเมื่อสหรัฐตั้งกำแพงภาษีจากจีน และประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ รวมทั้งไทย จะเผชิญความลำบากในการส่งออก หากต้องการส่งออกมากขึ้น ก็ต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา นั่นคือขายของให้ถูกลงในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหนีไม่พ้นการหามาตรการปล่อยให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ และคู่แข่ง
ทั้งนี้ มาตรการทางการเงินสามารถสนับสนุนให้ค่าเงินอ่อนค่าได้ด้วยการลดดอกเบี้ย เพื่อลดความน่าสนใจของสกุลเงินตัวเอง สนับสนุนให้เกิดเงินไหลออก แต่ต้องระวังว่าทรัมป์อาจเพ่งเล็งประเทศเหล่านี้ ว่าบิดเบือนค่าเงิน หรือทำค่าเงินให้อ่อนเกินปัจจัยพื้นฐาน เพื่อให้เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะเสี่ยงโดนจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
นายอมรเทพ กล่าวว่า ด้วยปัจจัยเหล่านี้ เราจึงเตรียมรับมือดอกเบี้ยที่ลดลง เพื่อปรับสมดุลกับเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่ใช่ดอกเบี้ยขาลง เพื่อรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ หรือความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และเชื่อว่าหากในอนาคตเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญปัญหาในรูปแบบอื่น ธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีเครื่องมือในการรับมือได้ ไม่ได้สูญเสียขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินแต่อย่างไร
"และน่าเห็นรอบการลดอัตราดอกเบี้ยนี้ ตั้งแต่การประชุมแรกของปี 2568 และไปจบรอบการลดอัตราดอกเบี้ย ในช่วงไตรมาส 3" นายอมรเทพ ระบุ
อย่างไรก็ดี ปี 2568 เป็นปีที่มีความผันผวนและความไม่แน่นอนภาคต่างประเทศสูง ซึ่งอาจทำให้ กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด เช่นปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐรุนแรงขึ้น จนกระทบเงินเฟ้อโลก ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในรัสเซีย และในตะวันออกกลาง รวมทั้งความเป็นไปได้ที่สงครามการค้าอาจเลื่อนออกไป หรือลดความรุนแรง รวมทั้งอาจมีมาตรการดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ช่วยคนมีภาระหนี้เฉพาะกลุ่ม ซึ่งล้วนพอจะทำให้นโยบายการเงินต้องให้น้ำหนักด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลด้านเงินเฟ้อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และอาจลดอัตราดอกเบี้ยเหลือเพียง 1.75% เท่านั้น และจบรอบการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2