นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะมีการเติบโตได้ในกรอบ 2.8-3.2% หรือมีค่าเฉลี่ยที่ 3% โดยต้องจับตาช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าโตได้ถึงระดับ 3% หรือไม่นั้น จะอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า ซึ่งจะเป็นช่วงที่เห็นประสิทธิผลจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ทยอยออกมาตั้งแต่ปลายปีนี้ ไปจนถึงช่วงไตรมาส 1 ปี 68 ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย", โครงการ Easy e-receipt และเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ผู้สูงอายุ
"มาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" จะทำให้การประหยัดการจ่ายดอกเบี้ยราว 2-2.5 หมื่นล้านบาทนี้ ไปเปลี่ยนเป็นเม็ดเงินในการจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ ได้ราว ส่วนโครงการ Easy e-receipt คาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจากการใช้จ่ายราว 3-5 หมื่นล้านบาท รวมกับเงินผู้สูงอายุอีกราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเมื่อรวมกันเกือบแสนล้านบาทนี้ จะลงสู่ระบบตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1 ต่อเนื่อง และจะเห็นผลความชัดเจนจากทิศทางเศรษฐกิจที่กระจายตัวไปทั่วประเทศได้ในไตรมาส 2" นายธนวรรธน์ ระบุ
อย่างไรก็ดี ต้องจับตาสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงเม.ย.-มิ.ย. ว่าจะมีความนิ่งแค่ไหน เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ย่อมมีผลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 69 ซึ่งอาจจะเกิดความล่าช้า และมีปัญหาเช่นเดียวกับการทำงบประมาณรายจ่ายปี 67 ที่ผ่านมา รวมทั้งสถานการณ์ความยืดเยื้อของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมทั้งสงครามการค้ารอบใหม่ ภายหลังการขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ซึ่งเหล่านี้จะเห็นในช่วงไตรมาส 2 ที่เป็นจุดวัดเศรษฐกิจไทยปีหน้า
"จุดเช็คพอยท์ ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะโตได้ 3% จริงหรือไม่ น่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 2" นายธนวรรธน์ ระบุ