ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองว่า ยอดคงค้างของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบแบงก์ไทย) มีโอกาสปิดสิ้นปี 67 ในระดับต่ำกว่าสิ้นปี 66 หรือหดตัวลงประมาณ 1.8% ซึ่งนับเป็นการหดตัวลงของสินเชื่อเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 53 (หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี) ซึ่งภาพการลดลงของสินเชื่อดังกล่าว มีนัยสะท้อนการปรับตัวทั้งจาก "ฝั่งผู้กู้" และ "ฝั่งสถาบันการเงิน" ในช่วงหลังโควิด-19
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปี 67 ผู้กู้ โดยเฉพาะภาครัฐและผู้ประกอบการในภาคธุรกิจ มีการบริหารจัดการสภาพคล่องเพื่อทยอยชำระคืนหนี้ และใช้ความระมัดระวังในการก่อหนี้ก้อนใหม่ ขณะที่สถาบันการเงิน ก็รักษาความสมดุลในการดูแลความเสี่ยงด้านเครดิตสำหรับการให้สินเชื่อใหม่ เร่งปรับโครงสร้างเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้เดิม และจัดการกับปัญหา NPLs ไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ดี สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อย อาจหดตัวลงในปี 67 สอดคล้องกับสัญญาณฟื้นตัวช้าของภาพรวมเศรษฐกิจไทย หลังจากที่แรงส่งต่อสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทยจากสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อรายย่อย (Contribution จากสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อรายย่อย) เริ่มทยอยถดถอยลงตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 2/67 โดยแรงฉุดหลักของสินเชื่อธุรกิจ มาจากการชำระคืนสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ และการลดลงอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อธุรกิจ SMEs ซึ่งปรับตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้กู้ ที่มีความอ่อนไหวต่อสัญญาณฟื้นตัวล่าช้าของภาวะเศรษฐกิจและกลุ่มอุตสาหกรรม
ขณะที่สินเชื่อรายย่อยมีภาพอ่อนแอลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะสินเชื่อสำหรับ Big-Ticket Items ของครัวเรือน ทั้งสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ที่หดตัวลงตามภาวะซบเซาของตลาดรถยนต์ใหม่ และการทรุดตัวลงของราคารถมือสอง (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ปิดสิ้นปี 67 ในอัตราติดลบเป็นตัวเลข 2 หลัก) และสินเชื่อบ้านที่ชะลอตัวลงในหลาย Segment ตามข้อจำกัดด้านกำลังซื้อและรายได้ของผู้กู้ ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปยังยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ของสถาบันการเงิน ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับ (PLoans) หดตัวลงท่ามกลางสัญญาณของปัญหา NPLs ที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยภาพดังกล่าว สอดคล้องกับรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งสะท้อนว่า มาตรฐานการให้สินเชื่อภาคธุรกิจ และสินเชื่อภาคครัวเรือน มีการปรับให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นสำหรับผู้กู้บางกลุ่ม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 68 จะยังคงเห็นสินเชื่อของระบบแบงก์ไทยเติบโตอย่างช้า ๆ และอยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกับหลายปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
โดยสินเชื่อธุรกิจมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าสินเชื่อรายย่อยในปี 68 โดยคาดว่า สินเชื่อธุรกิจอาจพลิกจากที่หดตัวลงตลอดช่วงปี 65-67 มาขยายตัวที่ระดับประมาณ 1.5% ในปี 68 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบรรยากาศการลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐในปี 68 สามารถทยอยกลับมาดีขึ้นกว่าปี 67
อย่างไรก็ดี แรงขับเคลื่อนของสินเชื่อธุรกิจ อาจเริ่มจากการเริ่มเบิกใช้สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน และสินเชื่อเพื่อการลงทุนของธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่การฟื้นตัวของสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ยังคงอ่อนแอ ท่ามกลางข้อจำกัดในการฟื้นตัวของธุรกิจ เพราะต้องเผชิญปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอ การแข่งขัน และการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวม
สำหรับสินเชื่อรายย่อยในระบบแบงก์ไทย คาดว่า สินเชื่อรายย่อย ยังคงมีแนวโน้มที่จะหดตัวต่อเนื่องในปี 68 โดยอาจหดตัวลงประมาณ 1.0% ต่อเนื่องจากที่คาดว่าจะหดตัวลงประมาณ 2.0% ในปี 67 เนื่องจากกรอบการฟื้นตัวที่จำกัดของรายได้ในภาคครัวเรือนและภาระหนี้สินที่มีอยู่เดิม มีผลกระทบต่อความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหม่ โดยเฉพาะหนี้ที่มีวงเงินต่อสัญญาที่ค่อนข้างสูง เช่น หนี้บ้าน และหนี้รถยนต์
ดังนั้น หากถอยออกมาประเมินภาพที่ใหญ่ขึ้น เป็นสถานการณ์สินเชื่อของระบบแบงก์ไทยในปี 68 แล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ภาพรวมสินเชื่ออาจเติบโตในระดับต่ำที่ประมาณ 0.6% แม้จะเป็นระดับที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับที่คาดว่า สินเชื่อจะปิดสิ้นปี 67 ในแดนลบ แต่ก็คงต้องยอมรับว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อปี 68 ที่ระดับดังกล่าวเป็นระดับที่ไม่สูง และต่ำกว่าอัตราการเติบโตของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Nominal GDP Growth) ติดต่อกันเป็นปีที่ 4
ทั้งนี้ สะท้อนถึงผลกระทบจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ที่ไม่เพียงมีผลต่อการเบิกใช้สินเชื่อ และความสามารถในการกู้ยืมของทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน แต่ยังมีผลต่อการพิจารณาความเสี่ยงด้านเครดิต และการเฝ้าระวังดูแลปัญหาคุณภาพหนี้ในฝั่งของสถาบันการเงิน หลังสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) และสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (Stage 2) ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง