น.ส.ทัศดา แสงมานะเจริญ เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาอาวุโส Clients & Markets บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 แล้วยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเติบโตของ GDP ต้องอาศัยปัจจัยขับเคลื่อนจากการบริโภคจากภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ซึ่งข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นว่า ไทยควรพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น โดยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้มากกว่า 60,000 ล้านบาทต่อปีจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เช่น การพัฒนามหรสพ พิพิธภัณฑ์ และดนตรีในร่ม เป็นแนวทางที่สำคัญ สถานที่กลางแจ้งควรจัดเตรียมด้านแสงสว่างและการคมนาคมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปรับเวลาการท่องเที่ยวให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่เพิ่มความเสี่ยงทางการค้าโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ไทยและผู้ส่งออกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย เนื่องจากในปี 2566 ไทยส่งออกไปยังสหรัฐเป็นมูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 17% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกว่า 18% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ดังนั้นการเพิ่มภาษีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2533 ไทยเคยมีอัตราการเติบโตของ GDP สูงสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ 11% โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2533-2538 อยู่ที่ 8.7% ขณะที่อาเซียนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 5.6% แต่หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเริ่มลดลงและต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (57-66) GDP ของไทยเติบโตเพียง 1.8% ขณะที่อาเซียนมีการเติบโตมากกว่า 3.7%
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อรายเดือนนั้นไทยยังคงสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เคยมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 11% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งจนถึงปัจจุบัน ขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนามเคยเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงกว่า 80% ในปี 2541 และกว่า 28% ในปี 2553 ตามลำดับ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 อาจเติบโตเพียง 0.4% แต่จะเริ่มเข้ากรอบเป้าหมายที่ 1.1% ในปี 2568
การที่อัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำบวกกับการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2567 ทำให้คาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต แม้จะมีการปรับลดไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ขณะที่หนี้ครัวเรือนไทยปรับฤดูกาล ณ ไตรมาส 2/67 ยังสูงถึง 89.8% ต่อ GDP โดยกว่า 28% เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ข้อมูลจากเครดิตบูโรยังระบุว่ายอดหนี้เสีย ณ เดือนกันยายน 2567 สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การปรับอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อทิศทางของค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกจะได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าในตลาดต่างประเทศ
นายนเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ฯ กล่าวว่า สวิตเซอร์แลนด์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกของไทย โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์มูลค่ากว่า 3,600 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้สวิตเซอร์แลนด์มีแนวโน้มที่จะเป็นคู่ค้าลำดับที่สองของไทยในยุโรป ขณะที่มีการเจรจาความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ในกรอบการเจรจา Free Trade Agreement ระหว่างไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ซึ่งรวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย
นอกเหนือจากมุมมองด้านเศรษฐกิจแล้วยังมีความท้าทายสำคัญ ดังนี้
1.ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ และการขาดแคลนทรัพยากรมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวปฏิบัติที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ รวมถึงการนำเทคโนโลยีการคาดการณ์มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
2.แรงกดดันด้านความยั่งยืน บริษัทต่าง ๆ ต้องสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและข้อบังคับทางกฎหมาย ภายใต้การตรวจสอบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เพิ่มขึ้น
3.การผสานรวม AI และการพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน การนำระบบ AI ขั้นสูงมาใช้ ควบคู่กับการจัดการปัญหาด้านอคติ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และการอัตโนมัติ จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลของมนุษย์กับนวัตกรรม การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วจำเป็นต้องมีการยกระดับทักษะแรงงานอย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดช่องว่างด้านความสามารถและความท้าทายในการรักษาบุคลากรในองค์กร
"การเติบโตของ AI แบบ Agentic ถือเป็นแนวโน้มสำคัญในวงการ AI ที่ช่วยช่วยส่งเสริมการตัดสินใจแบบอัตโนมัติและมีเป้าหมายที่ชัดเจน นอกเหนือจากการสร้างเนื้อหา ระบบเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งเสริมนวัตกรรม และยกระดับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดย AI แบบ Agentic แตกต่างจาก Generative AI ที่มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมที่ซับซ้อนเพื่อบรรลุเป้าหมายเฉพาะ โดยอาศัยการเรียนรู้ของเครื่องและระบบอัตโนมัติ" นายนเรนทร์ กล่าว
การประยุกต์ใช้ AI แบบ Agentic ครอบคลุมถึงการบริการลูกค้า การผลิต การขาย และการดูแลสุขภาพ ซึ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแรงงาน นวัตกรรม และความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในด้านการประสานงานของทีมงาน การปรับระดับความไว้วางใจ และการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จ ซึ่งต้องอาศัยเป้าหมายที่ชัดเจน บทบาทของทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลที่สมดุล เพื่อปลดล็อกศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของ AI แบบ Agentic และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในคราวเดียวกัน