น.ส.ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การแสดงความเห็นของ ธปท.ที่มีต่อโครงการของรัฐบาลในการโอนเงิน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ในแต่ละเฟสนั้น เป็นการให้ความเห็นไปตามหลักการ เนื่องจากการใช้เงิน ย่อมมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเลือกที่จะดำเนินการ หรือไม่ดำเนินการ
"การให้ความเห็นดังกล่าว เป็นหลักการเปรียบเทียบกับการนำเงินไปใช้ในโครงการแต่ละประเภท เช่น มีผลการศึกษาว่า ถ้านำเงินไปใช้จ่ายลงทุน หรือการอุปโภคภาครัฐ Multiplier ต่อเศรษฐกิจ จะมีเยอะกว่าการให้เงินโอน เป็นการพูดโดยหลักการทั่วไป" น.ส.ปราณี กล่าว
พร้อมระบุว่า ในประเด็นความห่วงกังวลของ ธปท.ในเรื่องภาระการคลังที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากเห็นว่าทรัพยากรมีเหลือไม่มากนัก ดังนั้นหากจะนำเงินไปใช้ในส่วนที่เป็นประโยชน์ และนึกถึงความคุ้มค่า ก็จะช่วยเศรษฐกิจได้ค่อนข้างมาก
"จากการศึกษาจากโครงการต่างๆ ในอดีต เราเปรียบเทียบประสิทธิผลการใช้เงิน 1 บาท อย่างไหนจะมีผลต่อการคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า จากผลศึกษาพบว่า การนำไปใช้ในการลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ จะมีผลคุ้มค่ามากกว่าที่เป็นเงินโอน" ผอ.อาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท.ระบุ
ทั้งนี้ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการโอนเงิน 10,000 บาท ให้ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายนั้น จะเห็นว่าการโอนเงินในเฟสแรก ที่ให้กลุ่มเปราะบาง เมื่อปลายเดือนก.ย. พบว่า มีผลช่วยกระตุ้นการบริโภคให้เพิ่มขึ้นในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้น คงต้องติดตามผลจากการโอนเงินในเฟสต่อไป ทั้งเฟส 2 ที่จะให้แก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และเฟส 3 ที่เป็นรูปแบบเงินดิจิทัล ว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย ที่จะช่วยกระตุ้นด้านการบริโภค และการผลิตได้มากน้อยอย่างไร
"การแจกเงินหมื่น ทั้ง 3 เฟส คำนึงถึงการประมาณการเศรษฐกิจแล้ว ช่วยกระตุ้นการบริโภคให้เพิ่มขึ้นในเดือนต.ค. เมื่อมองไปข้างหน้า ผลขึ้นกับว่าแจกกลุ่มไหน และพฤติกรรมการใช้จ่าย ซึ่งกลุ่มเปราะบาง เฟส 1 จะมี Multiplier ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ดังนั้น คงต้องจับตาดูต่อไป ว่าผลต่อเศรษฐกิจที่จะช่วยด้านการผลิต และการบริโภค จะได้มากน้อยอย่างไร" น.ส.ปราณี กล่าว