นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การดำเนินการมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน จะทำให้จีนหลุดพ้นจากภาวะซบเซา และเงินฝืดได้ แต่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว เนื่องจากมีกำลังการผลิตส่วนเกิน และภาวะอุปทานส่วนเกินจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจ การเร่งรัดการส่งออก และระบายสินค้าออกสู่ตลาดโลกในราคาถูก อาจเจอกับอุปสรรคจากการตั้งกำแพงภาษีในระยะต่อไป
การที่รัฐบาลจีน ประกาศแผนออกพันธบัตรพิเศษในปี 2568 เพื่อระดมทุนมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเพิ่มเติมอีก 15 ล้านล้านบาท โดยมุ่งไปที่การลงทุนโครงพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ระบบราง สนามบิน ลงทุนในภาคเกษตรกรรม รวมทั้งกระตุ้นภาคการบริโภค อุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภค และจัดสรรเงินลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมนวัตกรรมแห่งอนาคตประมาณ 4.68 ล้านล้านบาท ขนาดของงบประมาณกระตุ้น 15 ล้านล้านบาท น่าจะทำให้รับมือกับการชะลอตัวของการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่เกิดจากกำแพงภาษีที่อาจปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 60% ได้
นอกจากนี้ ยังส่งผลบวกต่อภาคส่งออกภาคการลงทุนของประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทยที่มีเศรษฐกิจเชื่อมโยงกันสูง มีห่วงโซ่อุปทานเดียวกันในสินค้าอุตสาหกรรมหลายประเภทที่เกี่ยวพันกัน เป้าหมายอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในระดับ 5% มีความเป็นไปได้ และส่งผลบวกต่อการค้าและการลงทุนของอาเซียน และไทย
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การออกพันธบัตร 3 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 15 ล้านล้านบาท หรือ 4.11 แสนล้านดอลลาร์) คิดเป็น 2.4% ของจีดีพีประเทศจีน ขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเกินความคาดหมาย รัฐบาลจีนยอมก่อหนี้จำนวนมหาศาลเพื่อให้เศรษฐกิจหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ จะส่งผลเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดการเงินของภูมิภาคเอเชีย ในระยะสั้น การก่อหนี้ในการออกพันธบัตรของรัฐบาลจีน ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีและ 30 ปีของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.01% และ 0.02% ตามลำดับ
นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายใน รัฐบาลควรเสริมความเข้มแข็งให้กับระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นเสาหลักของระบบสวัสดิการสังคมของไทย ด้วยการเพิ่มการจ่ายเงินสมทบเป็น 5% ให้เท่ากับนายจ้าง ผู้ประกันตน นอกจากนี้ ควรเร่งดำเนินการขยายฐานสมาชิก และนำแรงงานต่างด้าวให้เข้ามาอยู่ในระบบประกันสังคม
ขณะนี้ สำนักงานประกันสังคม และกระทรวงแรงงาน ได้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานดีขึ้น โดยล่าสุด มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์สงเคราะห์บุตรเป็น 1,000 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นนี้ เด็กกว่า 1.2 ล้านคนในครอบครัวผู้ประกันตน จะได้รับประโยชน์ทันที