สนค. เปิดบทวิเคราะห์ผลกระทบเงินเฟ้อจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เจาะสินค้า-บริการสำคัญ 6 กลุ่ม เผยภาพรวมมีผลต่อเงินเฟ้อค่อนข้างน้อยเพียง 0.15-0.30% เหตุรัฐบาลยังมีมาตรการช่วยลดค่าครองชีพประชาชน คาดทั้งปี 68 เงินเฟ้อยังอยู่ในเป้าหมาย 0.3-1.3%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการวิเคราะห์ "ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไป" หลังจากราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 ที่แบ่งเป็น 17 อัตรา เพิ่มในอัตราวันละ 7-55 บาท (เฉลี่ย 2.9%) โดยมีอัตราสูงสุด คือวันละ 400 บาท และอัตราต่ำสุด คือวันละ 337 บาท
ทั้งนี้ พบว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อประมาณ 0.15-0.30% และทำให้อัตราเงินเฟ้อในปี 68 จะยังอยู่ในช่วง 0.3-1.3% (ค่ากลาง 0.8%) ตามที่ สนค. ได้คาดการณ์เมื่อเดือนธ.ค. 67
สนค. ได้ดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบ โดยใช้ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และข้อมูลจำนวนผู้ใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งประมวลข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และกระทรวงแรงงาน รวมทั้งความสอดคล้องกับโครงสร้างของหมวดสินค้าและบริการ ของดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มสินค้าและบริการ ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ 6 กลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มที่ 1 สินค้าและบริการที่มีการกำกับดูแลโดยภาครัฐ คิดเป็นประมาณ 22% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าน้ำประปา ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ ค่าการศึกษา ค่าทางด่วน ค่าเดินทางสาธารณะ และค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
โดยการปรับราคาสินค้าและบริการเหล่านี้ จะขึ้นอยู่กับมาตรการภาครัฐ ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ จะไม่ส่งผลให้สินค้าและบริการในหมวดนี้ปรับตัวสูงขึ้น
- กลุ่มที่ 2 สินค้าและบริการที่มีการผลิตในระบบอุตสาหกรรม และเป็นสินค้าที่มีการใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็น 25% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าในหมวดเครื่องประกอบอาหาร (น้ำตาล เกลือ น้ำมันพืช) เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (น้ำดื่ม กาแฟ น้ำหวาน) ของใช้ส่วนบุคคล (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม แปรงสีฟัน กระดาษชำระ) และสินค้าคงทนต่าง ๆ (เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์)
ทั้งนี้ เนื่องจากกระบวนการผลิตของสินค้าส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม มีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้แรงงานขั้นต่ำน้อย ทำให้อาจจะไม่มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการในกลุ่มนี้ ตามการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
- กลุ่มที่ 3 สินค้าที่มีการใช้แรงงานสูง แต่การส่งผ่านราคาสู่ผู้บริโภคไม่มากนัก คิดเป็นประมาณ 22% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าในภาคการเกษตร ทั้งผักสด ผลไม้สด พืชไร่ และปศุสัตว์ เนื่องจากภาคการผลิตเหล่านี้ มีการใช้แรงงานในสัดส่วนที่สูง แต่ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาสินค้าได้ เนื่องจากราคาสินค้าถูกกำหนดโดยอุปสงค์ และอุปทาน
ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลให้สินค้าในหมวดนี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีนโยบายดูแลภาคการผลิตเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบให้รายได้สุทธิลดลง
- กลุ่มที่ 4 สินค้าและบริการที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คิดเป็นประมาณ 16% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป (บริโภคในบ้าน และบริโภคนอกบ้าน) โดยเฉพาะอาหารจานด่วน อาหารตามสั่ง ข้าวราดแกง และกับข้าวเป็นถุง เนื่องจากมีต้นทุนการใช้แรงงานสูง ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีความสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนได้ต่ำ
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนอื่น ๆ ของอาหารสำเร็จรูปในปี 68 มีแนวโน้มลดลง ทั้งราคาผักสดที่ลดลงจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูกมากขึ้น ไข่ไก่ที่ราคายังมีแนวโน้มลดลง เนื้อสุกรที่มีการปรับราคาสูงขึ้นไม่มาก รวมทั้งเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มทรงตัว ดังนั้น การปรับเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำ จะส่งผลกระทบต่ออาหารสำเร็จรูป ในปี 68 ไม่สูงมากนัก
- กลุ่มที่ 5 ค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัย คิดเป็นประมาณ 14% ของสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ โดยการปรับขึ้นค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัย ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานมากกว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบกับในปี 68 ภาคอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่ำ จะเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเช่าบ้าน และที่พักอาศัยยังอยู่ในระดับต่ำ หรืออาจไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
- กลุ่มที่ 6 ค่าบริการที่มีการใช้แรงงานมีฝีมือหรือทักษะสูง คิดเป็นประมาณ 1% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าตัดผม ค่าแรงช่างไฟฟ้า ค่าแรงช่างประปา ค่าแรงช่างก่อสร้าง ค่าบริการล้างแอร์ ค่าดูแลผู้สูงอายุ ค่าคนรับใช้/ คนทำงานบ้าน และค่าจ้างเฝ้าไข้ผู้ป่วย เป็นต้น
ในภาพรวม ค่าแรงหรือค่าจ้างในภาคบริการเหล่านี้ สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าบริการเหล่านี้ปรับเพิ่มไม่มาก หรืออาจจะไม่มีการปรับขึ้นค่าบริการ
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การจัดกลุ่มสินค้าและบริการออกเป็น 6 กลุ่ม ตามผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามสถานการณ์ของแต่ละกลุ่มได้อย่างใกล้ชิด และมีการดำเนินนโยบายในการดูแลการเปลี่ยนแปลงราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานที่ให้ความเป็นธรรม ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค
นอกจากนี้ คาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัจจัยด้านมาตรการช่วยเหลือลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และลดภาระหนี้สินครัวเรือน ทำให้การจับจ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ