ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 2.4 - 2.9% ขณะที่การส่งออกในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.5-2.5% ต่ำกว่าปี 2567 ส่วนอัตราเงินเฟ้อ ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8-1.2% พร้อมมองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังอาศัยภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลัก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าจะเพิ่ม ขึ้นเป็น 39 ล้านคน
ประกอบกับมาตรการของภาครัฐ ที่จะทยอยออกมาในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการโอนเงิน 10,000 บาท ในเฟส 2 และเฟส 3 รวมถึงมาตรการ Easy e-Receipt
"เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกมีโมเมนตัมและเติบโตได้ดีจากมาตรการภาครัฐ ช่วงครึ่งปีหลังภาครัฐน่าจะออกมาตรการเพิ่ม เติม อย่างเช่น มาตรการคนละครึ่งได้ผลไปถึงรากหญ้า" นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน การประชุม กกร.กล่าว
อย่างไรก็ดี กกร.มองว่า เศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ จากปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนสูงถึง 104% ของ GDP, เศรษฐกิจนอกระบบ ที่มีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP และธุรกิจ SMEs ขาดความสามารถในการปรับตัวและการแข่ง ขัน ที่จะรับมือกับการตีตลาดของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เช่น ผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ, เพิ่ม ศักยภาพให้ผู้ประกอบการในการแข่งขันและก้าวทันกระแสโลก, ลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ, ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ, แก้ปัญหาหนี้ ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ รวมถึงการเติมเครื่องมือให้ SMEs สามารถปรับตัวได้ เป็นต้น
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร. ปี 67 (ธ.ค.67) ปี 68 (ม.ค.68) - GDP 2.8 2.4 ถึง 2.9 - ส่งออก 4.0 1.5 ถึง 2.5 - เงินเฟ้อ 0.4 0.8 ถึง 1.2
สำหรับความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น นายสนั่น กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ยังไม่มีความชัดเจนจึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะสามารถเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าไปก่อน ได้ ซึ่งคาดว่าหากตัดสินใจดำเนินมาตรการใดก็จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลัง ในส่วนของไทยเองก็จะมีการจัดตั้ง คณะทำงานเดินทางไปชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทางสหรัฐฯ เข้าใจถึงดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น
ส่วนกรณีการตีตลาดของสินค้าราคาถูกนั้นเป็นเรื่องที่กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ควรเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบ การภาคเอกชน เพราะการจ้างทนายความต่อสู้คดีนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นภาครัฐควรเร่งใช้มาตรการอื่นภายใต้ พ. ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่ เพิ่มขึ้น พ.ศ.2550 อาทิ มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) การตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้ การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-circumvention: AC) และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG) เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งควรพิจารณาปรับลดกรอบระยะ เวลาการไต่สวน ลดขั้นตอนการปฏิบัติ
"เรามีกฎหมายมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ไม่ได้นำมาบังคับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันสินค้าทุ่มตลาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งขึ้นภายใต้หลักการ Free & Fair ที่ส่งเสริมการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย" นายสนั่น กล่าว
ประธาน กกร.ยังกล่าวถึงนโยบายลดค่าไฟฟ้าให้เหลือหน่วยละ 3.70 บาทว่า เป็นเรื่องดีที่จะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบ การ ให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าไฟถูกกว่า ถึงแม้ จะมีปัญหาเรื่องปริมาณไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอก็ตาม