นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนธ.ค. 67 ซึ่งเป็นการสำรวจจากความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-27 ธ.ค. 67 โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 48.7 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 48.8 ในเดือนพ.ย. 67 โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 (ตั้งแต่เดือนพ.ค. 67) และอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (ระดับปกติ) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้
- กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 49.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 48.9
- ภาคกลาง อยู่ที่ 48.8 ลดลงจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 49.0
- ภาคตะวันออก อยู่ที่ 51.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 51.5
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 47.4 ลดลงจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 47.6
- ภาคเหนือ อยู่ที่ 48.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 48.3
- ภาคใต้ อยู่ที่ 47.4 ลดลงจากเดือนต.ค. ซึ่งอยู่ที่ 47.6
ปัจจัยลบ ได้แก่
1. การฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกที่ช้าลงหรือชะลอตัวลง อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจไทยในอนาคต
2. เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต
3. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น
4. ความเสียหายของภาคธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหนักในบางพื้นที่ ทำให้ต้องหยุดดำเนินกิจการ และขาดรายได้ อีกทั้งยังต้องซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนที่เกิดความเสียหาย
5. เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ทำให้กังวลว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
ปัจจัยบวก ได้แก่
1. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25%
2. มาตรการของรัฐบาลในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น เงินช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บ. การเตรียมแจกเงิน 10,000 บ. ให้ผู้สูงอายุ
3. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย ส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กิจกรรมเศรษฐกิจในภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น
4. การส่งออกไทยเดือนพ.ย.67 ขยายตัว 8.17%
5. ครม. เห็นชอบขยายเวลาคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ 7% ต่ออีก 1 ปี
6. รัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ผ่านโครงการ Easy E-Receipt
7. ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง
8. ราคาพืชผลเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในต่างจังหวัด
ทั้งนี้ ภาคเอกชนยังได้เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อภาครัฐ ดังนี้
1. ขอให้ภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่อง จากต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบ หรือค่าจ้างแรงงาน
2. เร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภคของภาคประชาชน
3. การปรับโครงสร้างหนี้ของธุรกิจที่ประสบปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ และสร้างความโปร่งใสในการจัดการปัญหาในระยะยาว
4. มาตรการป้องกันรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวน เพื่อให้ทุกภาคส่วนตั้งรับในการเผชิญเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
5. การดูแลเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ
6. การรักษาเสถียรภาพทางด้านการเงินให้สมดุล เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่ยังอยู่ภายใต้บรรยากาศที่อาจไม่ดีมาก เพราะดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC Index) ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งเป็นระดับปกติ โดยพบว่าสาขาการลงทุน สาขาการท่องเที่ยว และสาขาเกษตรยังเติบโตได้ไม่โดดเด่น ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ภาคธุรกิจยังไม่กล้าจะลงทุนเพิ่ม ส่งผลให้ยังไม่มีการจ้างงานเพิ่ม
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า ภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.นี้ รวมถึงกรณีที่สหรัฐแซงชั่นรัสเซีย ซึ่งจะมีผลต่อราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซที่อาจสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย