นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของวีซ่าชนิดพิเศษ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญของประเทศ ที่จะช่วยดึงดูดบุคลากรต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย
สอดคล้องกับแนวโน้มการโยกย้ายฐานการลงทุนทั่วโลก อันเนื่องมาจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ประกอบกับโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างมากขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานการทำงาน และการพำนักระยะยาวของบุคลากรต่างชาติ ซึ่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของกลุ่มนักลงทุน และบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก
"การดึงดูดบุคลากรในกลุ่มนี้ เป็นโอกาสที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจ เกิดเม็ดเงินในการใช้จ่ายของชาวต่างชาติกระจายไปยังภาคส่วนต่าง ๆ เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับไทยสู่ศูนย์กลาง Talent ระดับโลกด้วย" นายนฤตม์ กล่าว
LTR Visa เป็นวีซ่าชนิดพิเศษที่รัฐบาลได้มอบหมายให้บีโอไอเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม เข้าสู่ประเทศไทย ได้แก่ 1) ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly Skilled Professionals) 2) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ (Work-from-Thailand Professionals) 3) ผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen) และ 4) ผู้เกษียณอายุ (Wealthy Pensioners) รวมทั้งผู้ติดตาม
โดยจะสามารถพำนักในประเทศไทยได้ 10 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้งที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ อีกทั้งจะได้รับอนุญาตให้ทำงาน โดยลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษเหลือ 17% และยังได้รับการผ่อนปรนระยะเวลาการรายงานตัวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจากปกติทุก 90 วัน เป็นปีละ 1 ครั้งด้วย
สำหรับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของ LTR Visa ครั้งนี้ เป็นผลมาจากการหารือร่วมกับหอการค้าต่างประเทศ และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (คสดช.) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธาน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1) ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ให้ครอบคลุมอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้มาช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทย
2) ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ เพื่อลดความซ้ำซ้อนกับคุณสมบัติอื่น ๆ ที่แสดงถึงความรู้ความสามารถ และศักยภาพของชาวต่างชาติทั้ง 2 ประเภทได้ดีอยู่แล้ว เช่น รายได้ขั้นต่ำ วุฒิการศึกษา การทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และความมั่นคงของนายจ้างในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความ น่าดึงดูดของมาตรการและสามารถเข้าถึงกลุ่ม Talent จำนวนมากขึ้น
3) ผ่อนคลายข้อกำหนดด้านรายได้ สำหรับบริษัทนายจ้างในต่างประเทศของผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทย จากเดิมกำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 150 ล้านดอลลาร์ ปรับเป็น 50 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และให้รวมถึงบริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ ซึ่งมีรายได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50 ล้านดอลลาร์ถือหุ้นทั้งสิ้นด้วย เพื่อให้สามารถเข้าถึงพนักงานทักษะสูงของทั้งบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ และบริษัทที่กำลังเติบโต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ประเทศไทยยังขาดแคลน
4) ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ สำหรับกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง จากเดิมกำหนดรายได้ส่วนบุคคล 80,000 ดอลลาร์/ปี โดยจะมาให้ความสำคัญกับทรัพย์สินที่มั่นคง และการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย (ไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์) ของชาวต่างชาติกลุ่มนี้ มากกว่าการพิจารณารายได้ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศมากขึ้น
5) ขยายสิทธิสำหรับผู้ติดตาม จากเดิมกำหนดเพียงคู่สมรส และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ครอบคลุมถึงพ่อแม่ และผู้อยู่ในอุปการะ โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ติดตาม เช่นเดียวกับวีซ่าอีกหลายประเภท เพื่อช่วยเพิ่มความน่าสนใจของมาตรการ สำหรับชาวต่างชาติที่ประสงค์ให้ครอบครัวเข้ามาพำนักในประเทศไทยด้วยกัน และยังช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศของสมาชิกครอบครัวชาวต่างชาติอีกด้วย
ปัจจุบัน บีโอไอได้อนุมัติ LTR Visa ให้กับบุคลากรต่างชาติศักยภาพสูงแล้วทั้งสิ้นกว่า 6,000 รายจากทั่วโลก โดยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ยุโรป (2,500 คน) รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ (1,080 คน) ญี่ปุ่น (610 คน) จีน (340 คน) และอินเดีย (280 คน)