นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ อาจยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ภายใต้การบริหารงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ แต่ทั้งนี้ ไทยก็ต้องไม่ประมาท โดยต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากทรัมป์ ถือเป็นบุคคลที่คาดเดาได้ยาก ดังนั้น รัฐบาลต้องมีการทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้เจรจาเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศได้มากที่สุด
"ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปได้ว่า เมื่อทรัมป์ 2.0 มาแล้ว จะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด แต่เราก็ประมาทไม่ได้...ทรัมป์ เป็นคนที่เราคาดการณ์ยาก ต้องดูต่อไป แต่สิ่งที่ไทยต้องรับมือ คือ รัฐบาลต้องทำงานร่วมกับผู้ประกอบการตัวจริงที่มีข้อมูลเชิงลึก สามารถเจรจาได้ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้านเศรษฐกิจของประเทศ" นายสนั่น ระบุ
พร้อมมองว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น ถือว่าเวียดนาม และไทย เป็น 2 ประเทศที่เกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ ในระดับที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงมีโอกาสมากที่จะถูกจับจ้องจากสหรัฐฯ ในการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า ในขณะที่จีน ก็เป็นอีกประเทศที่เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายของสหรัฐฯ เช่นกัน
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานคณะกรรมการค้าชายแดนและค้าข้ามแดน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่หลายสำนักเศรษฐกิจต่างประเมินว่าการค้าและการส่งออกของไทย จะได้รับผลกระทบจากนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจีนตอนใต้ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทยในการส่งออกสินค้าข้ามแดนและผ่านแดนนั้น เป็นประเทศเป้าหมายสำคัญของนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ซึ่งนโยบายดังกล่าว มีผลต่อการค้าของทั้งโลก หากการค้าโลกได้รับผลกระทบ ไทยก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวมองว่า ถ้าพิจารณาแบ็กกราวน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นนักธุรกิจ เชื่อว่าคงต้องรู้ว่าจะบริหารอย่างไรที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดี เพราะถ้าธุรกิจของตัวเองดี ธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็จะดีไปด้วย เช่นเดียวกับการบริหารเศรษฐกิจประเทศ
"โดยรวมแล้ว ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นบวกมากกว่าสำหรับประเทศเรา ผมไม่ค่อยห่วง เชื่อว่าทรัมป์เป็นนักธุรกิจที่ฉลาด แบ็กกราวนด์ของทรัมป์ จบจากสถานศึกษาที่สร้างนักธุรกิจเก่ง ๆ เป็นนักธุรกิจที่รู้จักวิธีการบริหาร เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจดี ก็จะดีทั้งหมด ไม่ใช่ดีคนเดียว ยังมั่นใจว่าอาจมีผลกระทบบางอุตสาหกรรม แต่บางอุตสาหกรรมจะได้รับผลบวก" นายจีรพันธ์ กล่าว
นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่เราเห็นชัดเจนขณะนี้ คือ การย้ายฐานการผลิตของจีน ซึ่งนอกจากพยายามหาตลาดอื่นมาทดแทนตลาดสหรัฐฯ แล้ว ยังมีความพยายามจะย้ายฐานการผลิตออกไปยังต่างประเทศด้วย โดยที่เห็นได้ชัดขณะนี้ คือ "ฉางอัน ออโตโมบิล" บริษัทรถยนต์จากจีนตอนใต้ ที่จะเริ่มเข้ามาตั้งฐานการผลิต และทำตลาดในประเทศไทยแล้ว
ส่วนสิ่งที่จะเป็นผลลบ คือ กำลังซื้อจากบางประเทศ อาจหายไปจากการถูกสหรัฐกีดกันทางการค้า และการตั้งกำแพงภาษี เช่น กัมพูชา เวียดนาม ซึ่งคงต้องมารอดูสถานการณ์อีกครั้งในสิ้นไตรมาสแรกปีนี้ ว่ามาตรการดังกล่าวในเชิงลบ กับปัจจัยเชิงบวกในการย้ายฐานการผลิต จะส่งผลให้การค้าการส่งออกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร