นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (บอร์ดกทท.) นำคณะร่วมประชุม กับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism: MLIT) ประเทศญี่ปุ่น
จากการหารือพบว่า MLIT มีนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมเพื่อโอกาสของประเทศไทย มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนด้านการขนส่ง สร้างโอกาส เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจาก MLIT จะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือให้ทันสมัยแล้วยังส่งเสริมการพัฒนาท่าเรือควบคู่กับเมือง
โดยมีการนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ริมน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ตลอดจนการพัฒนาท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของท่าเทียบเรือตู้สินค้า ส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก และใช้พลังงานหมุนเวียนต่างๆ ตลอดจนการติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าจากฝั่ง (Shore Power Supply) เพื่อลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนจากเรือที่จอดเทียบท่า
ดังนั้น การเข้าพบปะหารือกับ MLIT ในวันนี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการท่าเรือฯ ที่จะนำนโยบายต่างๆ ข้างต้น มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการของท่าเรือกรุงเทพต่อไป
ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการกทท. กล่าวว่า ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์กับ MLIT ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญของการท่าเรือฯ อาทิ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยว การพัฒนาท่าเรือสีเขียว และการพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่จะส่งเสริมศักยภาพของท่าเรือไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่ เพิ่มอัตราการจ้างงาน และเพิ่มคุณภาพชีวิตของชุมชน
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ ระบบ Automation และ AI มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ยกระดับคุณภาพบริการสู่มาตรฐานสากล และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งจะส่งผลต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยมี ความมุ่งมั่นจะเป็นท่าเรือที่เป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต ทั้งนี้ การท่าเรือฯ จะต้องเร่งพัฒนาท่าเรือให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโลจิสติกส์ของประเทศ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันมีท่าเรือทั้งสิ้นจำนวน 132 ท่า โดยในปี 2567 มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรืออยู่ที่ 21.77 ล้าน TEUs หรือคิดเป็นประมาณสองเท่าของประเทศไทย (11 ล้าน TEUs) โดยมีท่าเรือหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจำนวน 5 ท่า ได้แก่ ท่าเรือโตเกียว ท่าเรือโยโกฮามา ท่าเรือคาวาซากิ ท่าเรือโกเบ และท่าเรือโอซากะ