นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สรุปภาพรวมการส่งออกข้าวไทยในปี 2567 ว่า ไทยสามารถส่งออกได้ ในปริมาณถึง 9.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13% จากปี 66 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 225,656 ล้านบาท (ประมาณ 6,434 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นจากปี 66 ถึง 27%
"ปริมาณการส่งออกข้าวในปี 67 ที่ 9.95 ล้านตันนี้ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9 ล้านตัน และเป็นปริมาณส่งออกข้าวไทยที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2561" นางอารดา กล่าว
พร้อมระบุว่า การส่งออกข้าวในปริมาณที่สูงมากในปีก่อน เป็นผลมาจากความต้องการนำเข้าข้าว เพื่อรองรับกับความต้องการบริโภค การชดเชยผลผลิตที่ลดลง บรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อด้านอาหาร และเพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศผู้ซื้อ ประกอบกับอินเดีย มีมาตรการระงับการส่งออกข้าวขาวมาตั้งแต่ช่วงเดือนก.ค.66 ต่อเนื่องมาถึงเดือนต.ค.67 ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าข้าวขาวจากอินเดียพิจารณานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวขาว มากเป็นอันดับ 1 ที่ปริมาณ 5.99 ล้านตัน คิดเป็น 60% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด โดยส่งออกข้าวขาวเพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน รองลงมา ได้แก่ การส่งออกข้าวหอมมะลิไทย 1.74 ล้านตัน, ข้าวนึ่ง 1.27 ล้านตัน, ข้าวหอมไทย 0.63 ล้านตัน, ข้าวเหนียว 0.30 ล้านตัน และข้าวกล้อง 0.02 ล้านตัน
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ความสามารถในการส่งมอบข้าวให้ผู้นำเข้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกข้าวไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนในเกือบทุกภูมิภาค โดยไทยส่งออกข้าวไปภูมิภาคแอฟริกา 3.37 ล้านตัน คิดเป็น 34% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 35%) รองลงมา ได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย 3.33 ล้านตัน (ลดลงจากปีก่อน 8%) ภูมิภาคอเมริกา 1.34 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 33%) ภูมิภาคตะวันออกกลาง 1.34 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16%) ภูมิภาคยุโรป 0.30 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3%) และภูมิภาคโอเชียเนีย 0.27 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 35%)
โดยตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย ซึ่งไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซีย มากเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 1.33 ล้านตัน คิดเป็น 13% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ อิรัก 1 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18%) สหรัฐอเมริกา 0.85 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20%) แอฟริกาใต้ 0.83 ล้านตัน (ลดลงจากปีก่อน 7%) และฟิลิปปินส์ 0.62 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 48%)
นางอารดา ยังกล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกข้าวในปี 2568 โดยคาดว่า ตลาดการค้าข้าวโลกจะมีการแข่งขันสูง จากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย และปริมาณผลผลิตข้าวของทั้งประเทศผู้ส่งออก และผู้นำเข้าข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะภัยแล้งคลี่คลาย รวมทั้งภาวะทางเศรษฐกิจ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ราคามีผลต่อการตัดสินใจนำเข้าข้าวมากยิ่งขึ้นด้วย
อีกทั้งผู้นำเข้าสำคัญ อย่างอินโดนีเซีย อาจมีความต้องการนำเข้าข้าวลดลง เนื่องจากคาดว่าผลผลิตข้าวในประเทศจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น และได้นำเข้าข้าวเพื่อสำรองสต็อกไว้ค่อนข้างมากแล้ว โดยกรมการค้าต่างประเทศ และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์ร่วมกันว่าการส่งออกข้าวไทยในปี 2568 จะมีปริมาณ 7.5 ล้านตัน
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางความท้าทายในปี 2568 ทำให้เห็นว่าการขยายโอกาสในการส่งออกข้าวไทยให้ครอบคลุม และสอดรับกันทั้งระบบ มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และเพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกในการส่งออกข้าวไทย กรมฯ ได้ดำเนินการแล้วในการปรับลดขั้นตอน และระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าว จากเดิมใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 3 วัน เหลือเพียง 30 นาที เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้สามารถส่งออกข้าวได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสในการขยายช่องทางตลาดของข้าวไทยให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็ก ตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีแผนนำผู้ประกอบการรายเล็กที่มีศักยภาพในการส่งออกข้าว เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจในงาน BIOFACH (เยอรมัน) งาน Natural Products Expo West (สหรัฐอเมริกา) และงาน THAIFEX-Anuga Asia (ไทย) โดยคาดว่าภายใน 1 ปี จะมีคำสั่งซื้อและสร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท