สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดเศรษฐกิจไทยปี 68 จะขยายตัวเร่งขึ้นสู่ 3% จากปี 67 ที่เติบโตระดับ 2.5% โดยมี 4 ปัจจัยบวกหลัก ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจปีนี้มีโอกาสเติบโตได้ถึง 3.5% หากภาวะทั้งในและนอกประเทศเอื้ออำนวย รวมถึงมีการเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินของนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐอย่างเต็มที่ ดังนี้
1) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนให้ได้ 80% จากเป้าหมาย 75% ซึ่งการเพิ่มขึ้น 5% คิดเป็นวงเงิน 4.56 หมื่นล้านบาท จะช่วยให้ GDP โตเพิ่ม 0.11%
2) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของประชาชนผู้ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (ระยะที่ 3) เพื่อทำให้เม็ดเงินทั้งหมดถูกใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่และทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่เกินไตรมาส 2/68 โดยในส่วนนี้จะทำให้ GDP โตเพิ่ม 0.1% จากกรณีปกติ
3) การเร่งรัดการลงทุนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนในปีนี้ ราว 830 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ GDP โตเพิ่มได้ 0.002% ไม่นับรวม Forward Linkage
4) การกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมและช่วงปลายปีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปลายปีนี้ ซึ่งหากกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นได้ 5 แสนรายจากเป้าหมาย จะช่วยให้ GDP โตเพิ่ม 0.15%
5) การเร่งรัดโครงการการลงทุนของภาคเอกชนหลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Region เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจริงสู่ระบบเศรษฐกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทย หากลงทุนจริงได้รวม 7.5 หมื่นล้านบาท จะช่วยสนับสนุน GDP โต 0.19%
"หากสามารถผลักดันแนวทางการเร่งรัดได้เต็มศักยภาพแล้ว คาดว่าจะเพิ่มอัตราการขยายตัวได้อีก 0.5% ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ถึง 3.5% ตามกรอบบนของช่วงคาดการณ์" สศค.ระบุ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวว่า กระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างการติดตามและประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งหลายนโยบายค่อนข้างดุเดือด ชัดเจน และดำเนินการทันที ขณะที่มีอีกหลายนโยบายที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จึงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด แต่เบื้องต้นมองว่าผลจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้า ซึ่งอาจมีผลต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าคอมพิวเตอร์ ยางพารา และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ขณะเดียวกันอาจจะมีผลทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง แม้ว่ามาตรการด้านภาษีที่จะดำเนินการกับจีนจะยังไม่ชัดเจน ซึ่งในส่วนนี้อาจส่งผลให้ความต้องการสินค้าไทยจากจีนลดลง ตลอดจนจีนอาจจะมีการเร่งระบายสินค้าออกมา ทำให้สินค้าไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น
ในส่วนของการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นั้น ผู้อำนวยการ สศค. ระบุว่า ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามาอย่างใกล้ชิด โดยเชื่อว่าประเด็นนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องนำเรื่องนี้ไปประกอบการพิจารณาการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทยด้วย แต่หากพิจารณาจากข้อมูลในอดีต จะพบว่าทุกครั้งที่เฟดมีการขับเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในส่วนของไทยอีกราว 1 ไตรมาสต่อมาก็จะมีการขยับตัวตามไปด้วย
นายพรชัย ระบุว่า กระทรวงคลังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตร่วมกับหน่วยงานทุกส่วนที่เกี่ยวข้องผ่านเครื่องมือการคลังในมิติต่าง ๆ ส่วนนโยบายการเงินจะต้องดำเนินการควบคู่กันไป โดยในเดือน ก.พ. นี้ จะมีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เพื่อพูดคุยเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และนโยบายการคลังว่ารูปแบบจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมามีการพูดคุยกันปกติอยู่แล้ว แต่อาจจะเข้มข้นมากขึ้น
นายพรชัย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 67 จะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2.5% ลดลงจากเดิมที่คาดโต 2.7% เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/67 แตกต่างจากคาดการณ์มาก เป็นผลจากตัวเลขภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงมากกว่าประมาณการ โดยเฉพาะการชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาป ซึ่งในเดือน พ.ย. 67 ยอดการผลิตติดลบสูงถึงกว่า 20% รวมถึงนักลงทุนชะลอการลงทุน ตลอดจนการผลิตที่ลดลงด้วย ซึ่งภาคอุตสาหกรรมมีน้ำหนักคิดเป็น 26% ของ GDP