นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) กองใหม่ว่า อยู่ในช่วงการเก็บข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเบื้องต้น จะต้องรู้ก่อนว่าใช้สินทรัพย์ใดบ้าง เพราะบางอย่างก็เป็นสมบัติของรัฐ และบางอย่างก็ไม่ใช่สมบัติของรัฐ จึงต้องมาหารือกันก่อน ราคาเท่าไร และเอามาทำได้อย่างไรบ้าง รวมถึงประเมินสินทรัพย์นี้จะทำเงินได้เท่าไร เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดและวางแผนเพื่อดึงดูดนักลงทุนได้ คาดว่ากองทุนฯ นี้จะตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ขนาดของกองทุนฯ น่าจะอยู่ที่ราว 3 แสนล้านบาท ส่วนรายละเอียดทั้งหมดจะเร่งดำเนินการ น่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2568
"โครงการ 20 บาทตลอดสายนั้น ถ้าการตั้งอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ยังไม่เสร็จ เรื่องนี้ก็ยังไม่เสร็จเช่นกัน เพราะนี่เป็นเรื่องเดียวกัน ส่วนหลักการ ถ้าอยากให้ค่าโดยสาร 20 บาทสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ก็ต้องมาดูแยกว่าตรงไหนเป็นส่วนที่รัฐลงทุนก็เก็บไว้ เอาแค่ส่วนที่เอกชนลงทุนมากางดู เหมือนเราสร้างถนน ผมไม่ได้เอาเงินค่าสร้างถนนทั้งหมดมาคิด เพื่อเก็บค่าผ่านทางจากประชาชน แต่จะเก็บเฉพาะในส่วนค่าซ่อมก็พอ
กรณีนี้ก็เหมือนกัน รัฐบาลทำราง ผมก็ไม่เอาราง ไม่เอาอุโมงค์ ซึ่งมันอยู่ 50-100 ปีมาคิด เอาแค่ตัวรถ ตัวระบบ ตัวค่าคนขับ ค่าไฟมากองว่าตรงนี้จะมีรายได้เท่าไร เพราะฉะนั้นมันจะไม่เต็มที่ และสุดท้าย อินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ จะอยู่ได้ด้วยตัวเองเมื่อเวลาผ่านไป ผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และระยะเวลาการทำยาวพอ เช่น 30 ปี โดย 8 ปีแรกอาจจะติดลบ แต่เมื่อผ่านไปผลตอบแทนก็จะเป็นบวก ตรงนี้เป็นวิธีคิด" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พิชัย ระบุ
นายพิชัย ยังได้มอบนโยบายให้กับรัฐวิสาหกิจ ที่อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง 52 แห่ง ให้มีการวางแผนยุทธศาสตร์ในระยะยาว โดยมองเป็นทิศทาง ไม่ใช่แค่ 1-2 ปีเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มุ่งไปในทิศทางเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังนั้นการวางแผนยุทธศาสตร์จึงต้องมีความครอบคลุม ยืดหยุ่น ยึดหลักความมั่นคง และยั่งยืนเป็นหลัก
ทั้งนี้ สะท้อนว่าคณะกรรมการรัฐิวิสาหกิจ จำเป็นจะต้องมีบทบาทและหน้าที่ลงไปช่วยฝ่ายบริหารในการผลักดัน หรือกำหนดยุทธศาสตร์ขององค์กร ส่วนเรื่องกำไรมากหรือน้อยนั้น กระทรวงการคลังไม่อยากนำส่วนนี้ มาใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลงานรัฐวิสาหกิจ เพราะต้องยอมรับว่ารัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไร แต่เน้นไปที่การดูแลและช่วยเหลือประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นภาพที่อยากเห็น คือ รัฐวิสาหกิจสามารถอยู่ได้ รองรับภาคเอกชน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และแข็งแรงเป็นหลัก
"ปัจจุบัน รัฐวิสาหกิจมีทรัพย์สินรวมกันกว่า 16 ล้านล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินประมาณ 12.5 ล้านล้านบาท แต่บางรัฐวิสาหกิจทำงานไม่ได้มุ่งหวังผลกำไร จึงออกมาเป็นตัวเลขผลงานที่ 3.7 แสนล้านบาท สะท้อนว่าอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) อยู่แค่ 2% ถือว่าค่อนข้างต่ำ จากที่ควรจะอยู่ที่ 6% เพราะต้องยอมรับว่าหลายแห่งทำเพื่อสาธารณะ เช่น การลดค่าสาธารณูปโภค ดังนั้นคงเอา ROA มาวัดเป็นผลงานโดยรวมของทุกรัฐวิสาหกิจไม่ได้ หากจะวัดจริง ๆ ก็อาจจะต้องแยกเป็นกลุ่ม ๆ" นายพิชัย กล่าว