ยางพาราแปรรูปปี 68 ส่อแววหดตัว ผลพวงศก.โลกชะลอ ปริมาณผลิตเพิ่ม กดดันราคา

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 5, 2025 11:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดว่า มูลค่าการส่งออกยางพาราไทยในปี 68 มีแนวโน้มหดตัว 8.8% จากปีก่อน (YoY) มาอยู่ที่ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาส่งออกยางพารา เฉลี่ยจะลดลง 6.7% (YoY) เนื่องจากภาวะขาดดุลในตลาดยางพาราโลกมีแนวโน้มคลี่คลาย จากความต้องการใช้ยางพาราโลกที่โตชะลอลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปริมาณผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดี จากปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย และโรคระบาดในพืชที่ลดลง

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มลดลงในปี 68 จะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ราคายางพาราปรับตัวลดลงตามไปด้วย ในขณะที่ปริมาณการส่งออกยางพาราในปี 68 จะลดลง 2.2% (YoY) เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางมีแนวโน้มเติบโตต่ำ

ทั้งนี้ ปริมาณการส่งออกที่ลดลง จะมีส่วนกดดันให้กำไรโดยรวมของอุตสาหกรรมยางพาราแปรรูปในปี 68 ลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก สภาวะภูมิอากาศสุดขั้ว และการแพร่ระบาดของโรคใบร่วงยางพาราชนิดใหม่ ที่จะกระทบต่อราคาและปริมาณการส่งออกยางพารา

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยางพาราแปรรูปมีผู้เล่น 4 ราย ครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ โดยผู้เล่นจะแข่งขันกันในด้านการกระจายแหล่งรายได้/ตลาด/วัตถุดิบ การบริหารความเสี่ยงด้านราคา และการมุ่งสู่ความยั่งยืน

* ภาพรวมอุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป

อุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย โดยผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ จะรับซื้อผลผลิตยางพาราขั้นต้นจากเกษตรกรต้นน้ำ มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางพาราขั้นกลาง เช่น ซื้อยางก้อนถ้วยเพื่อมาแปรรูปเป็นยางแท่ง เป็นต้น ซึ่ง 77.6% ของผลิตภัณฑ์ที่ได้จะใช้เพื่อการส่งออก โดยในปี 66 ไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราขั้นกลางอันดับ 1 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดโลกอยู่ที่ 28.6%

ทั้งนี้ ในปี 66 มูลค่าการส่งออกยางพารา อยู่ที่ 3,649 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นราว 1.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยตลาดส่งออกหลัก คือ จีน มาเลเซีย และสหรัฐฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่งออกโดยส่วนใหญ่ จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยางล้อรถยนต์ สะท้อนได้จากปริมาณการส่งออกยางแท่ง และยางแผ่นรมควัน ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางล้อ คิดเป็นสัดส่วนต่อปริมาณการส่งออกทั้งหมดราว 57.9% และ 13.0% ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกน้ำยางข้นเพื่อไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยาง ถุงยางอนามัย และอื่น ๆ คิดเป็น 28.4% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด

โดยมูลค่าการส่งออกยางพาราของไทยในปี 66 หดตัวสูงถึง 29.3% (YoY) เนื่องจากปริมาณผลผลิตยางพาราไทยลดลง จากปัญหาภัยแล้งและโรคระบาดในพืช และความต้องการบริโภคในอุตสาหกรรมยางล้อรถยนต์ของประเทศคู่ค้าปรับตัวลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการลดระดับการสต็อกสินค้าลง

อย่างไรก็ดี ในปี 67 ความต้องการบริโภคของประเทศคู่ค้ากลับมาฟื้นตัว ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนอุปทานโลก ส่งผลให้ราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ของปี 67 ราคาส่งออกยางพาราของไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30.1%(YoY) ในขณะที่ปริมาณการส่งออก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.3% (YoY) ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงถึง 38.4% (YoY) ซึ่งราคาและปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่งผลดีต่อรายได้ และกำไรของผู้ประกอบธุรกิจยางพาราแปรรูปในตลาดหลักทรัพย์ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 รายได้ และกำไรโดยรวมของผู้ประกอบการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 22.9% (Y0Y) และ 146.9% (YoY) ตามลำดับ

* แนวโน้มอุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป

SCB EIC คาดว่า มูลค่าการส่งออกยางพาราในปี 68 มีแนวโน้มหดตัว 8.8% (YoY) มาอยู่ที่ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับราคาและปริมาณการส่งออกที่ปรับตัวลดลง โดยราคาส่งออกยางพาราโดยเฉลี่ย มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 6.7% (YoY) มาอยู่ที่ 1,608 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากภาวะขาดดุล หรือภาวะที่ผลผลิตน้อยกว่าความต้องการใช้ในตลาดยางพาราโลกมีแนวโน้มคลี่คลายลง จากปัจจัยดังนี้

1. ความต้องการยางพาราโลก มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดยางล้อรถยนต์ที่สำคัญของโลก โดย SCB EIC คาดว่า GDP สหรัฐฯ จะขยายตัวเพียง 1.9% ในปี 68 จากที่ขยายตัว 2.7% ในปี 67

2. ปริมาณผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดี จากปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย และโรคระบาดในพืชที่ลดลงโดยเฉพาะในไทย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลงในปี 68 ยังเป็นอีกปัจจัยกดดันให้ราคาส่งออกยางพาราปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ ปริมาณการส่งออกยางพาราในปี 68 มีแนวโน้มลดลง 2.2% มาอยู่ที่ 2.8 ล้านตัน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยาง โดยเฉพาะยางล้อรถยนต์ มีแนวโน้มเติบโตต่ำ ซึ่งปริมาณการส่งออกที่ลดลง จะมีส่วนทำให้กำไรโดยรวมของอุตสาหกรรมยางพาราแปรรูปลดลงตามไปด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการมีกลยุทธ์การตั้งราคาแบบบวกจากต้นทุน (Cost Plus Pricing) ซึ่งจะทำให้กำไรโดยรวม (กำไรต่อหน่วยคูณปริมาณการขาย) ปรับตัวในทิศทางเดียวกับปริมาณการส่งออก

โดยภาวะเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคยางพาราโลก ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ (Downside risk) ก็จะส่งผลให้ความต้องการบริโภคยางพาราโลกเติบโตต่ำกว่าที่คาด และส่งผลให้ราคาและปริมาณส่งออกยางพาราของไทยลดลงมากกว่าที่คาด ในทางตรงกันข้าม หากเศรษฐกิจโลกเติบโตดีกว่าคาด (Upside risk) ก็จะส่งผลให้ราคา และปริมาณส่งออกยางพาราของไทยปรับตัวลดลงน้อยกว่าคาด หรืออาจปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้

ในขณะที่ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และการแพร่ระบาดของโรคใบร่วงยางพาราชนิดใหม่ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตยางพาราทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยหากปัญหาภัยแล้ง และการแพร่ระบาดของโรคในพืชไม่คลี่คลายอย่างที่คาด หรือมีปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้น ปริมาณผลผลิตยางพาราโลกก็จะไม่ฟื้นตัวดีอย่างที่คาด ผลักดันให้ราคาส่งออกยางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้

SCB EIC มองว่า ในระยะต่อไป อุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากกระแสความยั่งยืน โดยเมกะเทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability) จะทำให้ผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้นในอนาคต ซึ่งกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ธ.ค. 68 เป็นตัวอย่างความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นจากกระแสความยั่งยืน

โดย EUDR กำหนดให้ผู้ประกอบการที่ส่งสินค้ายางพารา หรือสินค้าที่ผลิตจากยางพาราไปยังตลาด EU จะต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ว่าจะต้องมาจากพื้นที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งมาตรการดังกล่าว จะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยคว้าส่วนแบ่งตลาดยางพาราใน EU หรือในประเทศที่ส่งสินค้าที่ผลิตจากยางพาราไป EU ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยมีความพร้อมในการดำเนินการตามระเบียบ EUDR มากกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

* วิเคราะห์การแข่งขันอุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป

อุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป เป็นอุตสาหกรรมที่มีการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาด กระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้เล่นในอุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป เน้นการแข่งขันในด้านการขยายกำลังการผลิต เพื่อใช้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด เช่น กลุ่มศรีตรัง มีการเพิ่มกำลังการผลิตที่เหมาะสม (Optimum capacity) จาก 1.3 ล้านตันในปี 56 มาอยู่ที่ 2.8 ล้านตันในปี 66 โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวลดลง ซึ่งต้นทุนที่ต่ำลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก (ซึ่งไม่ใช่ผู้ผลิตยางธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษ) ไม่สามารถแข่งขันได้ และต้องออกไปจากตลาดในที่สุด และทำให้ผู้เล่นรายใหญ่ครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

โดย SCB EIC พบว่า ในปี 66 กลุ่มผู้ผลิตยางพาราแปรรูปรายใหญ่ 4 อันดับแรก ครองส่วนแบ่งตลาดส่งออกยางพารารวมกันสูงถึง 80.0% โดยกลุ่มศรีตรัง (STA) มีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยไทยฮั้ว เซาท์แลนด์ และวงศ์บัณฑิต ในขณะที่นอร์ทอีส (NER) ไทยอีสเทิร์น (TEGH) และไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ (TRUBB) มีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 10, 11 และ 17 ตามลำดับ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะเน้นแข่งขันในด้านการกระจายรายได้/ตลาด/แหล่งวัตถุดิบ การบริหารความเสี่ยงด้านราคา และการมุ่งสู่ความยั่งยืน ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก และความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ส่งผลให้ความต้องการใช้ยางพาราของคู่ค้า ราคา และปริมาณวัตถุดิบยางพารามีความผันผวน และไม่แน่นอนสูงขึ้น

ซึ่งลักษณะดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงที่ปริมาณการสั่งซื้อจะลดลงกะทันหัน ไม่สามารถจัดหาสินค้ามาส่งมอบให้กับลูกค้าตามที่สัญญา และมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาดทุน จากความผันผวนของราคา ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะซื้อแพง แต่ต้องขายถูกตามราคาในสัญญาที่ตกลงกันล่วงหน้าหรือก่อนส่งมอบ

SCB EIC มองว่า ในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่สูงขึ้นดังกล่าว ผู้ประกอบการควรปรับตัว โดยแข่งขันกันกระจายการส่งออกไปยังตลาดส่งออกที่หลากหลาย และกระจายการผลิตสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง หรือรายได้จากสินค้าใดสินค้าหนึ่งมากเกินไป

พร้อมกันนั้น ผู้ประกอบการก็มีการแข่งขันกันพัฒนาขีดความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบ ผ่านการซื้อวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่หลากหลาย ไม่พึ่งพาพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งมากเกินไป และเน้นพัฒนาความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านราคา ผ่านการบริหารจัดการสต็อกและการใช้สัญญาซื้อขายยางพาราในตลาดซื้อขายล่วงหน้า นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังมีการแข่งขันในด้านการมุ่งสู่ความยั่งยืน เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดการใช้น้ำ การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบด้านความยั่งยืน เป็นต้น

"กลุ่มผู้ผลิตที่สามารถจัดการความเสี่ยงด้านตลาด แหล่งวัตถุดิบ และราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำ และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน" บทวิเคราะห์ ระบุ

ทั้งนี้ ในระดับประเทศ อินโดนีเซีย และโกตดิวัวร์ คือ คู่แข่งที่สำคัญของไทย โดยในปี 66 ไทยมีส่วนแบ่งตลาดยางพาราโลกมากสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ 28.7% ตามมาด้วยอินโดนีเซีย และโกตดิวัวร์ ที่มีส่วนแบ่งตลาด 19.7% และ 16.3% ตามลำดับ ในขณะที่จีน สหรัฐฯ และมาเลเซีย เป็นตลาดนำเข้ายางพาราที่สำคัญของโลก มีสัดส่วนการนำเข้ารวมกันสูงถึง 44.4% ของมูลค่าการนำเข้ายางพาราทั้งหมดของโลก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ