เหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนอาจฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่กำลังร้อนแรงในปีนี้ลงมาอย่างน้อย 0.2%
หนังสือพิมพ์ไชน่า ซีเคียวริตี้ เจอร์นัลรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของนักวิเคราะห์ชาวจีนที่มองว่า เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมาจะส่งผลให้กำลังการผลิตของจีนหยุดชะงักลงเป็นเวลา 1 เดือน และจะฉุดรั้งอัตราการอุปโภคบริโภคในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดอย่างในมณฑลเสฉวนและพื้นที่ใกล้เคียงลงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ในที่สุดแล้วเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนผ่านโครงการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษกิจจีน
จู เจียงฝาง นักวิเคราะห์จาก CITIC Securities กล่าวว่า "แม้ว่าหายนะจากแผ่นดินไหวครั้งนี้จะส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทเอกชนในช่วงไตรมาสที่สอง แต่ผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้น"
ทั้งนี้ จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลกมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 10.6% ในช่วงไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ที่ขยายตัวในระดับ 11.4% ซึ่งนับเป็นอัตราการขยายตัวในระดับตัวเลขสองหลักเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน
โดยจู ซึ่งคาดการณ์เอาไว้ว่า เหตุแผ่นดินไหวจะฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจลง 0.2% ในปีนี้กล่าวว่า เศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงไตรมาสที่สามและสี่
ขณะเดียวกัน ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ BOC International China กล่าวว่า เหตุธรณีพิบัติในครั้งนี้จะส่งผลให้ตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปีนี้ชะลอตัวลง 0.4-0.7%
นอกจากนี้ นายฟาน เจียนปิง นักวิเคราะห์จากศูนย์ข้อมูลของทางการจีน ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของภาครัฐกล่าวว่า จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงนี้ทำให้จีนเผชิญกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจรุนแรงกว่าเหตุการณ์พายุหิมะที่เข้าถล่มจีนเมื่อเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--