วิจัยกรุงศรี คาดเงินเฟ้อไตรมาส 1/2568 อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% แต่เฉลี่ยทั้งปียังอยู่ใกล้ขอบล่าง เปิดโอกาสให้ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ท่ามกลางสงครามทางการค้าที่รุนแรงขึ้น
วิจัยกรุงศรี ระบุว่า จากที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนม.ค.68 อยู่ที่ 1.32% (YoY) และเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.23% ในเดือนธ.ค.67 นั้น นับเป็นอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยมีปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งสูงขึ้นจากฐานราคาที่ต่ำในปีก่อน ประกอบกับราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับสูงขึ้นจากราคาผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มที่มิใช่แอลกอฮอล์ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งหักราคาหมวดอาหารสด และพลังงาน เดือนม.ค.68 อยู่ที่ 0.83% เพิ่มขึ้นจากระดับ 0.79% ในเดือนธ.ค.67
ทั้งนี้ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ อาจยังอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานของราคาน้ำมันดีเซลที่ต่ำในช่วงไตรมาสแรกของปี 67 ซึ่งอยู่ที่ 30 บาท/ลิตร เทียบกับปัจจุบันที่กำหนดเพดานที่ 33 บาท/ลิตร นอกจากนี้ กิจกรรมท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องในช่วงต้นปี อาจหนุนให้ราคาสินค้าและบริการ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
วิจัยกรุงศรี ให้มุมมองสำหรับดอกเบี้ยนโยบาย ว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย แต่คาดว่าเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะยังอยู่ในระดับต่ำใกล้ขอบล่างของกรอบที่ 1% ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวชะลอลง แม้จะได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการรัฐ สะท้อนจากดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงซบเซาในไตรมาส 4 ปี 2567 (-0.1% QoQ) แม้มีมาตรการเงินโอน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนกว่า 14 ล้านคน ในช่วงเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯ กับจีน และยังมีความไม่แน่นอนจากของนโยบายทรัมป์ 2.0 วิจัยกรุงศรี จึงประเมินว่ายังมีความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 2.25% มาสู่ 2.00% ได้ภายในปีนี้
วิจัยกรุงศรี ประเมินกรณีจีนตอบโต้กลับสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเพิ่ม 10% อาจมีผลบวกสุทธิต่อไทยเล็กน้อย หลังจากที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ก.พ.68 โดยล่าสุด รัฐบาลจีนได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ด้านการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.68
ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกันของสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด โดยใช้แบบจำลองการวิเคราะห์การค้าโลก (Global Trade Analysis Project: GTAP) พบว่าปริมาณการส่งออก และ GDP ของไทย จะเพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน +0.27% และ +0.02% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเชิงบวกสุทธิต่อไทยอาจมีเพียงเล็กน้อย และจำกัดอยู่ในอุตสาหกรรมบางกลุ่มเท่านั้น อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ขณะที่อุตสาหกรรมอื่น ๆ จะได้รับผลเชิงลบเป็นส่วนใหญ่
วิจัยกรุงศรี มองว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงขึ้นได้อีกในระยะถัดไป รวมถึงยังมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ต่อประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทย ซึ่งนับเป็นประเด็นท้าทายที่สำคัญต่อทิศทาง และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้