![เป้าหมายต่อไป! ทอง 5 หมื่นไม่ไกลเกินเอื้อม เปิด 4 สาเหตุทำราคาพุ่ง](/img/files/20250211/iq3a60e495c84df31a2319813fa19292e4.jpg)
น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองคำล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 11 ก.พ. 68 ได้ขึ้นไปทำราคาสูงสุดใหม่ตลอดกาล ที่ 2,942.51 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ ก็ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล ที่ 47,450 บาท/บาททองคำ จนเข้าใกล้เป้าหมายที่ YLG มองไว้ที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ และทองไทย 48,000 - 50,000 บาท/บาททองคำ หากได้อานิสงส์เพิ่มเติมจากเงินบาทอ่อนค่า
สาเหตุหลักที่ทองคำปรับตัวขึ้น มาจาก 4 ปัจจัย ดังนี้
1.ความกังวลในความไม่แน่นอนด้านนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ล่าสุด ได้ลงนามประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก และอลูมิเนียมทั้งหมดเข้าสู่สหรัฐ สู่ระดับ 25% โดยไม่มีข้อยกเว้น จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค.68 แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยกเว้นภาษีจากแคนาดา และเม็กซิโกให้ 1 เดือน แต่ทั้ง 2 ประเทศอาจได้รับผลกระทบอีกครั้ง เพราะต่างมีการส่งเหล็ก และอลูมิเนียมให้สหรัฐในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้ "ทรัมป์" ยังได้ส่งสัญญาณวางแผนประกาศใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เพิ่มเติมในสัปดาห์นี้
2.ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเพิ่มขึ้น เมื่อกลุ่มฮามาสระงับการปล่อยตัวตัวประกันชาวอิสราเอล โดยอ้างว่าอิสราเอลฝ่าฝืนการหยุดยิงในฉนวนกาซา ในขณะที่ "ทรัมป์" กล่าวว่าฮามาสต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมดที่ถูกจับตัว ภายในเที่ยงวันเสาร์นี้ (15 ก.พ.68) มิฉะนั้นเขาจะเสนอให้ยกเลิกข้อตกลงหยุดยิง
3.ความคาดหวังของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง กำลังสนับสนุนทองคำที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้ตามแผนถึง 2 ครั้ง ในขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางอินเดีย ได้ลดอัตราดอกเบี้ยแบบปผ่อนปรน เพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตามการเคลื่อนไหวที่คล้ายกันของธนาคารกลางยุโรป, ธนาคารกลางสวีเดน และธนาคารแห่งประเทศจีน
4.การซื้อทองคำของธนาคารกลาง ยังเพิ่มดีมานด์ทองคำแท่งอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่มีระดับการเข้าซื้อสูงเกิน 1,000 ตัน โดยในเดือนม.ค.68 ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้เพิ่มปริมาณทองคำสำรองเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
นอกจากนี้ ทองคำยังได้ปัจจัยหนุนเพิ่มเติม จากการที่สำนักงานกำกับดูแลการเงินแห่งชาติของจีน (NFRA) จัดตั้งโครงการ (pilot scheme) อนุญาตให้บริษัทประกันภัยในจีน สามารถลงทุนในทองคำแท่งได้มากถึง 1% ของสินทรัพย์ทั้งหมด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างการจัดสรรสินทรัพย์ประกันภัย
สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำนั้น เข้าใกล้ราคาเป้าหมายที่ให้ไว้เร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้ วายแอลจียังคงเป้าหมายเดิม 3,000 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ไว้เป็น Base Case แต่หากโมเมนตัมทองคำยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง มองว่าจะมีโอกาสขึ้นทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 3,100 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ และทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ หากผ่าน 48,000 บาท/บาททองคำ จะมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 50,000 บาท/บาททองคำ
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำถือว่าปรับตัวขึ้นมาแรงและเร็ว จึงแนะนำให้ระมัดระวังแรงเทขายทำกำไร โดยนักลงทุนที่มีทองอยู่ในมือสามารถแบ่งขายทำกำไรออกมาบางส่วนที่โซนแนวต้าน 2,975-3,000 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อทองคำนั้น แนะนำให้หาจังหวะราคาทองคำย่อตัว บริเวณแนวรับแรก 2,895 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ หากเอาไม่อยู่มอง แนวรับสำคัญไว้ที่ระดับ 2,870 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์