ไทยส่งออกอาหารปี 67 นิวไฮ ลุ้นปีนี้โตต่อท่ามกลางความเสี่ยงศึกภาษีรอบใหม่

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 19, 2025 11:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไทยส่งออกอาหารปี 67 นิวไฮ ลุ้นปีนี้โตต่อท่ามกลางความเสี่ยงศึกภาษีรอบใหม่

3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร 3 สถาบัน ได้แก่ สถาบันอาหาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 67 มีมูลค่า 1,638,445 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.3% ถือเป็นสถิติส่งออกสูงสุดครั้งใหม่

ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความต้องการสินค้าอาหารที่เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร หลังจากหลายประเทศเผชิญสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรลดลง แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่คลายตัวลงส่งผลทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัว รวมทั้งค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้การส่งออกสินค้าอาหารของไทยในปี 67 ขยายตัวเพิ่มขึ้น

ไทยส่งออกอาหารปี 67 นิวไฮ ลุ้นปีนี้โตต่อท่ามกลางความเสี่ยงศึกภาษีรอบใหม่

สำหรับกลุ่มสินค้าที่การส่งออกเพิ่มขึ้นและมีอัตราขยายตัวสูง ได้แก่ ข้าว (+25.9%), อาหารสัตว์เลี้ยง (+30.5%), ปลาทูน่ากระป๋อง (+15.5%), ซอสและเครื่องปรุงรส (+10.5%), อาหารพร้อมรับประทาน (+30.2%) และผลิตภัณฑ์มะพร้าว (+29.0%)

โดยการส่งออกข้าวของไทยเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการนำเข้าข้าวของประเทศคู่ค้าในหลายภูมิภาคเพิ่มขึ้นหลังผลผลิตลดลงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ส่วนการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากตามแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและพฤติกรรมการมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยงเติบโตแบบก้าวกระโดด

ไทยส่งออกอาหารปี 67 นิวไฮ ลุ้นปีนี้โตต่อท่ามกลางความเสี่ยงศึกภาษีรอบใหม่

ในส่วนของการส่งออกสินค้าพร้อมรับประทาน รวมทั้งปลาทูน่ากระป๋อง ซอสและเครื่องปรุงรส ขยายตัวสูง โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจผันผวนและค่าครองชีพสูง ส่งผลทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับสินค้าที่สร้างความสะดวกรวดเร็วในการบริโภคมากขึ้น

สำหรับตลาดส่งออกอาหารไทยในปี 67 ส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง ได้แก่ แอฟริกา (+36.0%), ตะวันออกกลาง (+31.9%), โอเชียเนีย (+21.9.0%), สหรัฐอเมริกา (+19.0%) และสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร (+16.0%) โดยมีสินค้าส่งออกหลักทั้งในกลุ่มสินค้าเกษตรอาหารจำพวกข้าว กลุ่มอาหารแปรรูปและพร้อมรับประทานที่สะดวกรวดเร็วในการบริโภค เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน ตลอดจนกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและเครื่องปรุงอาหารทั้งซอสและเครื่องปรุงรส กะทิและเครื่องแกงสำเร็จรูป สอดรับกับพฤติกรรมการบริโภคภาคครัวเรือนในยุคที่เศรษฐกิจผันผวนและค่าครองชีพสูง

ส่วนตลาดส่งออกอาหารไทยที่หดตัวลง ได้แก่ อาเซียน (-4.1%) และจีน (-6.1%) การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนหดตัวลงตามสินค้าน้ำตาลทรายเป็นหลัก ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดจีนหดตัวลงตามสินค้าผลไม้สด แป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified starch) กุ้งสดแช่แข็ง ไก่สดแช่แข็ง และน้ำตาลทราย เป็นต้น

ด้านการค้าอาหารโลกในปี 67 ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าการค้า 1,840 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.6% สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ จีน และเยอรมนี เป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ถึง 5 ของโลก ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยครองอันดับที่ 12 ในการส่งออกอาหารไปยังตลาดโลก อันดับโลกดีขึ้น 2 อันดับจากประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 14 ของโลกในปีก่อน ส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกของไทยอยู่ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.40% ในปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ ประเทศผู้ส่งออกในภูมิภาคอาเซียนที่โดดด่น คือ เวียดนามที่มีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกเพิ่มขึ้นมากจาก 1.85% เป็น 2.34% ในปี 67 อันดับโลกของเวียดนามเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 17 เป็นอันดับที่ 16 ของโลก ขณะที่ประเทศอื่นในภูมิภาคส่วนใหญ่ทั้งอินเดียและมาเลเซีย มีอันดับและส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น มีเพียงอินโดนีเซียที่มีอันดับและส่วนแบ่งตลาดโลกลดลงตามการส่งออกปาล์มน้ำมัน

*แนวโน้มปี 68 ส่งออกอาหารโตต่อ 6.8%

แนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 68 คาดว่าจะมีมูลค่า 1,750,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์วัตถุดิบปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน ทั้งผลผลิตมันสำปะหลัง อ้อย สับปะรด และมะพร้าว ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่งผลดีช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจัดหาวัตถุดิบได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทผันผวนแต่ยังอยู่ในกรอบที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 68 จะเคลื่อนไหวในช่วง 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าในครึ่งปีแรกและคาดว่าจะอ่อนค่าในครึ่งปีหลัง ตามทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ประกอบกับผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลาย ราคาเหมาะสม มีคุณภาพและความปลอดภัย สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศคู่ค้าทั่วโลก เป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันการส่งออกอาหารไทยในปี 68 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นทำนิวไฮต่อเนื่อง

สำหรับกลุ่มสินค้าที่คาดว่าการส่งออกมีแนวโน้มโดดเด่นในปี 68 ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทาน และผลิตภัณฑ์มะพร้าว โดยการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมีแรงขับเคลื่อนจากแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ที่ต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สินค้าพรีเมียมและฟังก์ชันนัลเพิ่มมากขึ้น

ในส่วนของตลาดที่มีแนวโน้มดี เช่น จีน อินเดีย ที่จะเติบโตได้ในระยะยาว การส่งออกซอสและเครื่องปรุงรส มีแรงขับเคลื่อนจากความนิยมในอาหารและเครื่องปรุงรสไทยที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศ การขยายตลาดในสหรัฐฯ และการพัฒนาซอสรสชาติที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ เช่น ซอสเผ็ด การส่งออกอาหารพร้อมรับประทาน มีแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับความสะดวกรวดเร็วในการบริโภคอาหารในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน ประกอบกับมีเทคโนโลยีนวัตกรรมช่วยให้คงรสชาติและยืดอายุอาหารได้ดียิ่งขึ้น การส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าว มีแรงขับเคลื่อนจากเทรนด์สุขภาพ และการขยายตัวของตลาดนมจากพืช (Plant-based milk)

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารไทยยังคงมีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะนโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะดำเนินการกับทุกประเทศที่เห็นว่าได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการที่เป็นรูปธรรมจะทราบผลและเริ่มบังคับใช้ในช่วงเดือนเม.ย. นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมอาหารไทยก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากอาหารเป็นหนึ่งในสาขาการผลิตที่ทำให้ประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง ล่าสุดในปี 67 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ มูลค่า 172,380 ล้านบาท แต่นำเข้ามูลค่า 44,150 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้าอาหารกับสหรัฐฯ มูลค่า 128,230 ล้านบาท สัดส่วนราว 10% ของยอดเกินดุลการค้ารวมของไทย รองจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์

นอกจากนี้ นโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเสี่ยงต่อการเปิดศึกภาษีรอบใหม่ระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากสงครามการค้าดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีที่ผู้นำสหรัฐฯ จะเริ่มนำมาใช้กับประเทศคู่ค้าในหลาย ๆ ประเทศ เชื่อว่าจะมีการตอบโต้กันไปมา ท้ายที่สุดจะส่งผลต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ต้องรับกับภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และลดทอนอำนาจซื้อของผู้บริโภค รวมถึงกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและหลายประเทศในเอเชียให้ซบเซาต่อไป ซึ่งจีนและประเทศที่ถูกผลกระทบต้องหาตลาดใหม่ ทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะการแข่งขันรุนแรง เศรษฐกิจและการค้าโลกจึงเสี่ยงต่อการชะลอตัว และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตและการค้าอาหารของไทยได้ในที่สุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ