ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกของไทยยังขยายตัวดี มาจากแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง, อุปสงค์ต่างประเทศที่เร่งตัว จากความกังวลประเด็นสงครามการค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน, ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่เติบโตต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการขยายตัวของกิจกรรมภาคการผลิต
ผู้อำนวยการ สนค. ยังเชื่อว่า การส่งออกของไทยในไตรมาส 1/68 จะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
* การส่งออกสินค้าแยกเป็นรายกลุ่ม
- สินค้าเกษตร หดตัวครั้งแรกในรอบ 7 เดือน มีมูลค่า 2,027.7 ล้านดอลลาร์ ลดลง 2.2% โดยสินค้าเกษตรที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ ยางพารา, ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป
- สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 มีมูลค่า 1,698.4 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.0% โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ที่ขยายตัวดี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, และอาหารสัตว์เลี้ยง และ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป
- สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 มีมูลค่า 20,695.6 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.0% โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวดี ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป), เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ, เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง
"การส่งออกสินค้าเกษตร ประเภทผลไม้ปีนี้ ไม่ได้น่าเป็นห่วง โดยคาดว่าปีนี้ปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 7 แสนตัน มากกว่าปี 67 ซึ่งอยู่ที่ 5 แสนตัน ผลผลิตจะมากกว่าปีก่อน แต่ที่น่าห่วง คือ สินค้าข้าว มันสำปะหลัง เพราะราคาแข่งขันยาก ซึ่งผู้ส่งออกให้ข้อมูลว่าข้าวไทยตอนนี้ ถือว่าราคาแพงสุดในโลก ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม ห่วงเรื่องรถยนต์ ปีก่อนอาจจะลดลงไม่มาก แต่ปีนี้ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 ของไทย เริ่มมีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องติดตาม" นายพูนพงษ์ ระบุ
ส่วนตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในเดือนม.ค.68 ที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัว 852.7% อันดับ 2 เอเชียใต้ ขยายตัว 111.5% อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 22.4% อันดับ 4 ลาตินอเมริกา ขยายตัว 21.6% อันดับ 5 แอฟริกา ขยายตัว 13.9% อันดับ 6 สหภาพยุโรป ขยายตัว 13.8% อันดับ 7 จีน ขยายตัว 13.2% อันดับ 8 สหราชอาณาจักร ขยายตัว 9.8% อันดับ 9 CLMV ขยายตัว 5.2% และอันดับ 10 อาเซียน 5 ขยายตัว 4.8%
* หลายปัจจัยหนุน เชื่อส่งออกทั้งปีโตตามเป้า 2-3%
ผู้อำนวยการ สนค. ยังเชื่อว่าการส่งออกไทยในเดือน ก.พ. และมี.ค.นี้ มีโอกาสจะเติบโตได้ 2 หลัก ซึ่งหากสามารถรักษามูลค่าการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนไว้ที่ระดับ 25,000-26,000 ล้านดอลลาร์ ก็จะทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยปีนี้ เติบโตได้ 2-3% ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้
โดยปัจจัยสนับสนุนการส่งออกในปี 68 ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ที่คาดว่าจะเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิต สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางที่เริ่มคลี่คลาย ดัชนีราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ สถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงตึงเครียด ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบใหม่ในสหรัฐฯ ผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย ที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและค่าระวางเรือ ตลอดจนผลกระทบจากมาตรการทางการค้าต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน
"ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลทางการค้า กระจายความเสี่ยงด้านตลาด และกำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาโอกาส เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ที่ท้าทาย" ผู้อำนวยการ สนค. ระบุ
* สรท. เชื่อส่งออก Q1/68 ยังสดใส ลุ้นโต 7-10%
ด้านนายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า การส่งออกเดือนม.ค.68 ที่เติบโตในระดับ 2 หลัก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของปีนี้ ซึ่งเป็นโมเมนตัมที่ต่อเนื่องมาจากปลายปี 67 จากความกังวลกับปัญหาสงครามการค้า จึงทำให้มีการเร่งการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ
สำหรับแนวโน้มการส่งออกไตรมาส 1/68 หากสามารถส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ 25,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป ก็เชื่อว่าไตรมาสแรกนี้ การส่งออกจะขยายตัวได้ราว 7-10%
"หากแต่ละเดือนทำได้ 25,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป ไตรมาส 1 ส่งออกไทย น่าจะโตได้อย่างต่ำ 7-10% ซึ่งเดือนม.ค. ก็ทำได้แล้ว ส่วน ก.พ. และมี.ค. ตัวเลขน่าจะอยู่ในกรอบนี้เช่นกัน" ประธาน สรท. ระบุ
นายชัยชาญ กล่าวว่า ในเรื่องของสงครามการค้านั้น ทำให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งมีทั้งความไม่รู้ และความไม่แน่นอนสูงมาก สิ่งที่จะต้องจับตาคือ ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องการเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ต้องดูเรื่องการขาดดุลการค้ากับจีนด้วย ซึ่งจากนี้ไป ไทยจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับดุลการค้าของแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน
ส่วนในไตรมาส 2 นั้น คงต้องติดตามว่าการส่งออกสินค้าของไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มีการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ กันอย่างมากในช่วงไตรมาส 1 นี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของอัตราภาษีนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต