
ภายหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6:1 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.0% โดยการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ มาจากการพิจารณาของ กนง. ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ จากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภาคการผลิตที่เผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ อีกทั้งความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้น หลังสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง ขณะที่ภาวะการเงินในประเทศยังคงตึงตัว โดยเฉพาะปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ทั้งนี้ กนง. มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ จะช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลง และช่วยรองรับความเสี่ยงด้านต่ำในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มองว่าการสื่อสารของ กนง. ครั้งนี้ให้น้ำหนักกับพัฒนาการเศรษฐกิจไทยมากขึ้น สะท้อนจากการปรับมุมมองประมาณการเศรษฐกิจไทยลง จากแนวโน้มของภาคการผลิตที่จะเผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้นเป็นหลัก โดยได้คำนึงผลกระทบนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ เฉพาะที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% แต่ยังไม่รวมผลของนโยบายในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นเพิ่มเติม โดย กนง. มองว่านโยบายการค้าสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอน แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ดี กนง. ยังคงสื่อสารว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ ไม่ใช่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง (Easing Cycle) แต่เป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลง สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตต่ำลงจากปัญหาภาคการผลิต กนง. เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2% ยังคงสถานะเป็นกลาง (Neutral) ต่อเศรษฐกิจ กล่าวคือ ไม่ได้เร่งหรือฉุดรั้งการเติบโต และมองว่านโยบายเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย จะเป็นนโยบายหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงขึ้นได้
* ลุ้น กนง. ลดดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้
SCB EIC มองว่า กนง. ยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้ จากความตึงตัวต่อเนื่องของภาวะการเงิน และผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ โดย 2 ปัจจัยนี้ จะเป็นปัจจัยหลักที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งบางส่วน กนง. ยังมองเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ และยังไม่ได้ประเมินไว้ในกรณีฐาน ได้แก่
- ภาวะการเงินจะยังตึงตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญหลังวิกฤติ COVID-19 ซึ่ง SCB EIC มองว่าสถานการณ์สินเชื่อขยายตัวต่ำสุดในรอบหลายปีมานี้ จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง และกดดันให้อุปสงค์ในประเทศชะลอลง
- นโยบายกีดกันการค้าสหรัฐฯ ที่ออกมารวดเร็วและรุนแรง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งเพียงเดือนเศษ แต่ได้ประกาศใช้มาตรการ หรือขู่ว่าจะออกมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมจำนวนมาก ซึ่งมาตรการเหล่านี้ จะยิ่งทำให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยที่อ่อนแออยู่ก่อนแล้ว ปรับแย่ลงไปอีก และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการฟื้นตัวของรายได้ภาคครัวเรือนที่เกี่ยวข้อง
"ทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวนี้ คาดว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันในระยะข้างหน้า ส่งผลกดดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพอย่างมีนัยสำคัญ SCB EIC มองว่า มีโอกาสที่ กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้ เพื่อช่วยผ่อนคลายภาวะการเงิน ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายภายนอก และภายในประเทศอย่างมาก" บทวิเคราะห์ระบุ
สำหรับมุมมองของ กนง.ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจนั้น เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยตัวเลขจริงออกมาเพียง 2.5% ขณะที่การประชุมรอบเดือนธ.ค.67 กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 67 จะขยายตัวได้ 2.7% ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาคการผลิตที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน โดยกนง. ประเมินว่าปัญหานี้จะรุนแรงขึ้น และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงกว่าที่เคยประเมินไว้
ดังนั้น ในการประชุมครั้งนี้ (26 ก.พ.) กนง. จึงได้ปรับลดมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 68 ว่าจะขยายตัวสูงกว่าปี 67 เพียงเล็กน้อย อีกทั้งยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก อย่างไรก็ดี กนง. จะเผยแพร่ประมาณการใหม่ในการประชุมครั้งหน้าเดือนเม.ย.