
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ชี้ภาวะการส่งออกของไทยในเดือน ม.ค.68 ที่ขยายตัว 13.6% เป็นภาพลวงตา โดยพบการกระจุกตัวในสินค้าบางกลุ่มที่เติบโตผิดปกติ ได้แก่ อิเลคทรอนิกส์ที่ขยายตัว 17% เครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัว 10% เนื่องจากความกังวลเรื่องผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าจึงเป็นการเร่งส่งออกล่วงหน้า ขณะที่การใช้กำลังการผลิตไม่ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง ค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากปริมาณการส่งออกลดลง

ผลกระทบจากเรื่องกำแพงภาษีเป็นสิ่งที่ไทยคงไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ และผลกระทบไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศเม็กซิโก แคนาดา และจีนเท่านั้น อีกทั้งยังเกิดผลกระทบต่อสินค้าบางชนิด เช่น เหล็ก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหามาตรการรองรับผลกระทบดังกล่าว
หากพิจารณาแล้วจะเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจยังไม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การใช้กำลังการผลิตไม่ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงเพราะความต้องการใช้น้อยลง ค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากปริมาณการส่งออกลดลง ในปี 67 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 35,000 ล้านดอลลาร์ แต่ขาดดุลการค้ากับจีนมากถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณให้มีการทบทวนกฎระเบียบเกี่ยวกับการส่งออกและนำเข้า ดังนั้นเราคงจะดูเฉพาะยอดส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงลึกไปในรายละเอียดด้วย

"เกิดไฟไหม้นอกบ้านอยู่แล้วรู้อย่างไรว่าจะไม่ลามมาถึงบ้านเรา ต้องเตรียมมาตรการรับมือ ยอดส่งออกที่เติบโตเป็นเพียงภาพลวงตาจากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายหลังโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดี สงครามการค้าจะเต็มรูปแบบมากขึ้น เป็นระเบิดเวลาของการส่งออกไทย ผลกระทบทางตรงอาจน้อยแต่ผลกระทบทางอ้อมมหาศาล" นายชัยชาญ กล่าว
ทั้งนี้ สรท.คาดการณ์การส่งออกของไทยในปี 68 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1-3% โดยมีมูลค่า 305,000 ล้านดอลลาร์ จากปี 67 ที่มีมูลค่า 300,500 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.4% จากปี 66 ส่วนช่วงไตรมาสแรกของปี 68 คาดว่าจะขยายตัวได้ 7-8% โดยมูลค่าส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 25,000 ล้านดอลลาร์

"ยอดส่งออกไตรมาสแรกของปีนี้ชัดเจนจบไปแล้ว เป็นการเร่งส่งออกในช่วงที่ไม่มีมาตรการกีดกันทางการค้า ส่วนไตรมาสต่อไปก็ต้องรอลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง" นายชัยชาญ กล่าว
1) การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่มแต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2) สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น
3) Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า
4) การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป
5) Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต
6) ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบายที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ
1) ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ ควรมีแผนรองรับความเสี่ยง (Derisking)
- มองหาตลาดอื่นทดแทนเพื่อกระจายสินค้า
- หารือผู้นำเข้า/ฑูตพาณิชย์ อย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการรับมือร่วมกัน
2) เร่งใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่และใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้เต็มที่ เช่น กรอบ RCEP รวมถึงเร่งเจรจา FTA Thai-EU และ ASEAN-Canada ให้บรรลุผลโดยเร็ว