หอการค้า แนะภาครัฐเร่งตั้ง Special Team หาทางรับแรงกระแทกนโยบายภาษี "ทรัมป์"

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 6, 2025 10:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หอการค้า แนะภาครัฐเร่งตั้ง Special Team หาทางรับแรงกระแทกนโยบายภาษี

สภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ย้ำรัฐบาลให้เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการที่ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกขึ้นภาษี เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าลำดับที่ 11 นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ กับทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนรวมถึงไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยและผู้ประกอบการไทยในทุกระดับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

ดังนั้น ขอให้รัฐบาลเร่งตั้ง "ทีมพิเศษ" (Special Team) ประกอบด้วยภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอำนาจสั่งการระดับกระทรวง เพื่อวางแผนรับมือและกำหนดแผนเชิงรุกกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของนโยบายเศรษฐกิจการค้าของสหรัฐฯ กับทั่วโลก

สำหรับดุลการค้าไทย-สหรัฐฯ ปี 66 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีมูลค่าการส่งออก 67,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยได้เกินดุลการค้าสหรัฐฯ 29,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปี 67 ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ไทยยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขยับจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐในลำดับที่ 12 มาเป็นลำดับที่ 11 สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องความไม่สมดุลทางการค้า โดยที่นโยบายการค้าของทรัมป์มุ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากไทย และเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งหากไทยไม่สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

*แนะไทยวางกลยุทธ์ใช้โอกาสมาตรการภาษีทรัมป์

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 กล่าวว่า หอการค้าไทย มีความเป็นห่วงต่อภาพรวมและตัวเลขการค้าของไทยซึ่งได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ สูง เพื่อป้องกันผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว ไทยเองโดยควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควตาภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐฯ ให้มีจุดยืนที่เป็นธรรมและเข้มแข็ง (Fair and Strong Position) ในการเจรจากับสหรัฐฯ

นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเสียดุลการค้าภาคบริการ (Deficit on Services) เช่น บริการดิจิทัล ค่าบริหารจัดการ ลิขสิทธิ์ ภาคธนาคาร ภาคประกันภัย การศึกษา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าตัวเลขการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียว

หอการค้าไทย ย้ำให้รัฐบาลจัดตั้ง "ทีมพิเศษ" (Special Team) ที่มีอำนาจสั่งการกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกระทรวงแรงงาน ร่วมกับภาคเอกชน โดยเฉพาะ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาเชิงรุกกับสหรัฐฯ การทำงานต้องครอบคลุมทั้งการป้องกันมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการใช้โอกาสจากมาตรการภาษีของทรัมป์ (Trump Tariffs) ซึ่งถือเป็นนโยบายกาลักน้ำ (Zero Sum Game) ที่ประเทศหนึ่งได้ อีกประเทศหนึ่งต้องเสีย ดังนั้น ไทยต้องวางกลยุทธ์ให้เป็นฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อ GDP ไทย 0.5-1.0%

*แนะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เพิ่มจุดยืนเจรจาต่อรอง

นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หอการค้าไทย กล่าวว่า หนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการลดแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ คือการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรอง หากพิจารณามูลค่าการค้าเฉพาะสินค้าหมวดสินค้าเกษตรกรรม (กสิกรรม, ปศุสัตว์, ประมง) และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร พบว่า ไทยเกินดุลสหรัฐฯ เพียง 2,665 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.5%

โดยหอการค้าไทย เสนอให้รัฐบาลพิจารณาการนำเข้าสินค้ากลุ่มต่าง ๆ ที่ไทยยังขาดแคลน และการนำเข้าไม่กระทบต่อผู้ค้าและเกษตรกรไทย อาทิ

1. พืชอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลือง) ที่ผ่านมาไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปัจจุบันยังต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและหมอกควัน การเปิดโควตานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวของไทย จะช่วยให้ไทยมีทางเลือกด้านซัพพลายที่มากขึ้น

2. สินค้าอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่าจากเรือชักธงสหรัฐฯ ซึ่งไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม หอการค้าฯ ขอเน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องมีมาตรการเชิงรุกและเร่งด่วนในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเวทีเศรษฐกิจโลก ทั้งในมิติของการค้าระหว่างประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ และประเด็นสิทธิมนุษยชน หากไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน ไทยอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ และต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

*แนะรัฐเข้มงวดนำเข้าสินค้าไม่ได้คุณภาพ-ทุ่มตลาด

ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าได้มีการหารือ และส่งสัญญาณไปยังรัฐบาล ถึงการเตรียมความพร้อมมาตรการในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะเดียวกัน นโยบายการค้าเชิงรุกของสหรัฐฯ และมาตรการกีดกันสินค้านำเข้าของสหรัฐ จะทำให้หลายประเทศต้องหันมาพึ่งพาตลาดใหม่โดยเฉพาะอาเซียนและไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น

ดังนั้น เพื่อป้องกันผลกระทบดังกล่าว หอการค้าฯ จึงเสนอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการควบคุมและกวดขันการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่อาจไม่ได้คุณภาพ หรือสินค้าที่มีราคาถูกจนส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม (Free and Fair Trade) ภาครัฐควรมีการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าอย่างละเอียดก่อนอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดไทย โดยกำหนดให้สินค้าบางประเภทต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือหลบเลี่ยงภาษี

ในส่วนของสินค้าที่ทะลักเข้ามาแล้ว รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการกวดขันเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยไม่เสียภาษี การตรวจสอบการใช้ราคาต่ำผิดปกติเพื่อทำลายการแข่งขัน รวมถึงการป้องกันการทุ่มตลาด (Dumping) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจภายในประเทศอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ควรพิจารณาการออกกฎหมายหรือมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยอาจกำหนดมาตรการปกป้องธุรกิจภายในประเทศจากการทุ่มตลาดของสินค้าต่างชาติ และทบทวนกฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

*ถอดบทเรียน เม็กซิโกและแคนาดา เดินเกมไว

นอกจากนี้ หอการค้ายังได้ถอดบทเรียนจากการประกาศที่อเมริกาประกาศภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% แม้ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรและคู่ค้าใหญ่มากของสหรัฐฯ แต่สังเกตความฉับไวของการตัดสินใจของทั้งสองประเทศต่อรองซื้อเวลาได้อีกหนึ่งเดือน และเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ภาษีนำเข้า 25% ถูกบังคับใช้เป็นทางการ ทั้งสองประเทศก็สามารถใช้ทีมพิเศษตอบโต้และต่อรองได้คล่องตัว จนมีข่าวว่าทำเนียบขาวส่งสัญญาณจะพบกันกับเม็กซิโกและแคนาดาที่ครึ่งทาง

พร้อมกันนี้ ไทยก็ควรให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราค่าเงินบาทและอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เนื่องจากหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจมีการใช้กลยุทธ์ในการ "บริหารค่าเงิน" ของตนเพื่อลดผลกระทบจากภาษี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น เราจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และไม่ควรมองข้ามประเด็นปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยน

*ประเมินผลกระทบทางตรง-ทางอ้อม อาจฉุด GDP โตไม่ถึง 3%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในช่วงนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ได้พูดถึงประเทศอื่น ๆ ที่เป็นประเทศเล็ก ๆ อย่างประเทศในอาเซียน หรือประเทศไทย ดังนั้น ไทยยังมีเวลาที่จะไปทำความเข้าใจและไปพูดคุยและให้ข้อมูลกับสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ได้มีการประเมินกรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีกับเม็กซิโก แคนาดา 25% และจีน 20% และการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ผลกระทบโดยตรงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย คือการที่ไทยส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์ ไปยังตลาดสหรัฐฯ 40,000-50,000 ล้านบาท/ปี

ดังนั้น ไทยน่าจะได้รับผลกระทบทางตรงในเชิงลบจากส่วนนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่ผลกระทบทางอ้อมที่เป็นห่วงโซ่อุปทานที่มีการส่งออกไปมาระหว่างสหรัฐฯ และจีน เม็กซิโก และแคนาดา คาดว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้นอีกประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท ดังนั้น ผลกระทบที่จะมีการขึ้นกำแพงภาษีในวันที่ 4 มี.ค. 68 น่าจะมีผลกระทบโดยรวม 20,000-25,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ลดลง 0.1-0.15% ซึ่งทำให้กรณีที่มองไว้ว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะโตที่ 3% อาจย่อลงทำให้โตไม่ถึง 3% ได้

อย่างไรก็ดี หากมีการขึ้นกำแพงภาษีรถยนต์ด้วย จะส่งผลกระทบมากขึ้น เพราะตลาดรถยนต์ของไทยมีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านบาท และเป็นตลาดสำคัญที่จีน เม็กซิโก และแคนาดา ส่งไปสหรัฐฯ โดยผลกระทบทางตรงที่จะเกิดกับไทยจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท ส่วนผลกระทบทางอ้อมที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน ที่มีการส่งออกกลับไปมาระหว่างสหรัฐฯ และจีน เม็กซิโก และแคนาดา คาดว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้นอีกประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งถ้ารวมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วย ผลกระทบโดยรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 60,000-65,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ลดลง 0.3-0.5% ทำให้เศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ที่ประมาณ 2.6-2.8%

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ถ้ามีการขึ้นกำแพงภาษีทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยโดน 10% ตามที่ทรัมป์หาเสียงไว้ จากการประเมินขั้นต่ำเบื้องต้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยถึง 100,000-150,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ลดลง 0.5-0.7% ทำให้เศรษฐกิจไทยโตในกรอบประมาณ 2.3-2.5% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้ว ซึ่งผลกระทบที่คาดการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไทยสามารถป้องกันเพื่อลดแรงกดดันจากสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นได้

"การตั้ง Special Team มีความจำเป็นในการเจรจาลดแรงกดดัน หาวิธีป้องกันที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่เสี่ยงโตต่ำกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า การปล่อยสินเชื่อยังไม่โดดเด่น NPL ยังน่ากังวล จึงทำให้แม้การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจยังไม่เพียงพอในการประคองเศรษฐกิจไทย ดังนั้น เห็นด้วยกับการตั้ง Special Team เพราะเหมือนเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนต้องมาประสานงานและทำงานร่วมกัน ตระหนักร่วมกัน การรีบจัดตั้งทีมจะทำให้เห็นข้อมูลมากขึ้น มองว่าการตั้ง Special Team ดีกว่าไม่ทำอะไร ไม่มีอะไรจะเสียมีแต่ได้กับได้" นายธนวรรธน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ