นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดำเนินการ สำหรับมาตรการบริหารจัดการผลไม้ที่จะทยอยออกสู่ตลาด ตามที่ได้รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ปี 2568 ผลไม้หลายชนิดจะมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้ จากการส่งออกให้แก่ประเทศมากกว่า 1.5 แสนล้านบาท/ปี โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดหลัก
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ และสินค้าตกค้าง ในช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า จึงมอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานเกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมและมาตรการบริหารจัดการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกร ดังนี้
1. กระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับการกระจายสินค้าออกจากแหล่งผลิต รวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ และขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อผลักดันการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ มากขึ้น
2. กระทรวงคลัง โดยกรมศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังจีนให้สอดคล้องกับปริมาณ และช่วงเวลาการขนส่งทุเรียน
3. กระทรวงคมนาคม หารือภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวก ทั้งรถขนส่งสินค้า และตู้ขนส่งสินค้าให้เพียงพอ
4. กระทรวงเกษตรฯ กำกับดูแลการตรวจคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสารแคดเมียม และสารสีเหลือง (Basic Yellow 2) ซึ่งทางประเทศจีนกำหนดให้ตรวจ 100% หากพบผู้กระทำความผิด ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที
5. กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน ในการอำนวยความสะดวกการนำเข้าทุเรียนจากไทย เช่น การยอมรับการตรวจสอบของห้องแล็บในไทย ตั้งแต่ต้นทางโดยไม่ต้องตรวจซ้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้นำเอาข้อสั่งการทั้ง 5 ข้อไปปรับใช้กับสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น มังคุด ลำไย ที่ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังมีข้อสั่งการว่า ตามที่ได้เข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 จากการที่ประเทศเยอรมนีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ประกอบการจากทั่วโลกมารวมตัวกัน เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศตนเอง ทั้งโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวสายการบิน สินค้า และบริการต่าง ๆ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศ
โดยในปีนี้ รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ขนาดบูธของประเทศไทยปีนี้ ได้จองพื้นที่เกือบทั้ง Hall ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพของประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก ทั้งภาคเอกชน และประชาชน รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ร่วมมาเปิดบูธ 160 ราย โดยในปีนี้ รัฐบาลได้เน้นถึงการส่งเสริม Soft Power ซึ่งเป็นจุดขายหลักของประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับสิ่งสำคัญคือปีนี้ รัฐบาลได้ผลักดันให้ผู้ประกอบการเมืองน่าเที่ยวใน 18 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน สุโขทัย แพร่ ลำปาง สตูล ตรัง นครศรีธรรมราช หนองคาย อุดรธานี เลย นครพนม จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี และสระแก้ว ได้มีโอกาสเจรจาธุรกิจกับผู้แทนบริษัทนำเที่ยว นำเสนอเสน่ห์ที่แตกต่าง ตอบโจทย์นักเดินทางที่มองหาจุดหมายใหม่ เชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว
โดยได้รับความสนใจจากบริษัทนำเที่ยวชั้นนำจากหลายประเทศ/ดินแดน อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สเปน สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ไต้หวัน เวียดนาม ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทุกประเทศรู้สึกยินดีที่ประเทศไทยมีการนำเสนอในมุมของ Hidden Gems Cities เป็นโอกาสให้พัฒนาศักยภาพ ผู้ประกอบการให้มีความพร้อมในการเข้าสู่เวทีเจรจาธุรกิจระดับสากลได้อย่าง มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ได้รับรายงานว่า มีการซื้อขายแล้วประมาณ 70,000 กว่าราย มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริป ประมาณ 60,000 กว่าบาท สร้างรายได้เข้าประเทศเบื้องต้น กว่า 4,400 ล้านบาท โดยภายหลังเสร็จงาน 3-6 เดือนจะมีการเจรจา สัญญาซื้อขายเพิ่มเติมอีกแน่นอน โดยขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งติดตามผลและเดินหน้าประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพด้านแหล่งท่องเที่ยว และสิ่งอำนวยความสะดวกของไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตามข้อสั่งการดังกล่าว