
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาในงาน Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities ในหัวข้อ "ความพร้อมประเทศไทย เพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก" ว่า ปี 2568 กระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ที่ 3-3.5% ซึ่งถือเป็นการกลับมาเติบโตในระดับศักยภาพปกติ และเป็นการเติบโตในระดับเดียวกับภูมิภาค โดยต้องเร่งดำเนินการผ่านการผลักดันการลงทุนให้เกิดขึ้นได้จริง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2566 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในประเทศไทย คิดเป็นวงเงินลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นจำนวนที่สูงมาก แต่ยังไม่มีการใส่เม็ดเงินเข้ามาอย่างจริงจัง ดังนั้นรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต้องเร่งดำเนินการในส่วนนี้ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็ว โดยชูจุดขายของประเทศไทยให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่ดี เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ดังนั้นจึงต้องเร่งแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง และพร้อมจะสนับสนุนการลงทุนในมิติต่าง ๆ
"วันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ ที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตผ่านระดับ 3% ไปได้ เพื่อขยับไปสู่ระดับต่อไป แต่ 3% นี้ ไม่ใช่เป้าหมายการเติบโตของไทยในระยะยาวอย่างแน่นอน เราต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพ และปลดล็อกเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค เพราะวันนี้ เรารู้แล้วว่านักลงทุนต้องการอะไร ต้องการที่ดิน ต้องการแรงงาน ต้องการสิ่งรองรับเทคโนโลยี ต้องการการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ต้องการความรวดเร็ว และเรามีพื้นฐานที่ดีใน 2 อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้องดึงสิ่งเหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์" รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าว
ขณะเดียวกัน จะต้องพุ่งเป้าหมายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับทิศทางของโลก เช่น อุตสาหกรรม BCG, อุตสาหกรรมยานยนต์และแบตเตอรี่สะอาด, อุตสาหกรรมดิจิทัล, โดยรัฐบาลอยากให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Headquater เพื่อให้สามารถเข้าถึงและสนับสนุนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ ดังนั้น อุตสาหกรรมของไทยจะต้องเร่งปรับตัว เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ ในการรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
รองนายกฯ และ รมว.คลัง ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพแข็งแกร่ง สะท้อนจากการมีทุนสำรองเกินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าหนี้ระยะสั้นต่างประเทศของไทยถึง 3 เท่า ขณะเดียวกัน ยังมีสภาพคล่องเหลือในระบบที่มีประสิทธิภาพ ราว 4 ล้านล้านบาท ซึ่งมีศักยภาพเพียงพอที่จะใช้ในการลงทุนที่เป็นประโยชน์กับประเทศ รวมถึงการมีระบบสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง
ดังนั้นหากทุกฝ่ายร่วมมือและเร่งพัฒนาในส่วนนี้ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เชื่อว่าจะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"อยากเชิญชวนนักลงทุน ว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาในด้านการผลิต ด้านบริการ เรามีความพร้อมและมีความเชื่อมโยงในด้านพื้นฐานการลงทุนที่จะสามารถตอบโจทย์ และเป็นจุดหมายของการลงทุนได้เป็นอย่างดี รัฐบาลเองพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ และพร้อมรับฟัง รวมถึงพร้อมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างนักลงทุนที่เกิดขึ้น เพื่อการเติบโตร่วมกัน โดยเน้นความยั่งยืน และหวังว่าการเข้ามาลงทุน จะเป็นการลงทุนอย่างมีความสุข และรักประเทศไทยมาก ๆ" นายพิชัย กล่าว