
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 3 โดยที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการ ดังนี้
1. จัดเก็บภาษีมูบค่าเพิ่ม (VAT) ได้ 1,500 ล้านบาท จากสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท
2. ดำเนินคดีสินค้าผิดกฎหมาย 24,626 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 1,257.24 ล้านบาท
3. ลดการนำเข้าสินค้าผ่าน e-Commerce ลง 8% เฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท
4. กวาดล้างธุรกิจนอมินี 851 ราย มูลค่าความเสียหาย 15,121 ล้านบาท

ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศฝ่าฝืนกฎหมาย นำโดย ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีม ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า การจดทะเบียนธุรกิจ และธุรกิจนอมินีทั่วประเทศ เพื่อทำให้ความเข้มข้นของการปราบปรามดียิ่งขึ้น
"รัฐบาลมุ่งมั่นปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย และธุรกิจนอมินี เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเข้มข้นต่อเนื่อง เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและผู้บริโภคไทย และขอประชาสัมพันธ์ ถ้าใครเห็นว่ามีบริษัทไหนที่ต้องการร้องเรียนปัญหาเรื่องนอมินี ให้ติดต่อมาที่เบอร์สายด่วนกระทรวงพาณิชย์ 1570 หรือเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เราจะเข้าไปตรวจสอบโดยเร็ว ซึ่งล่าสุด ได้รับข้อร้องเรียนในการปลูกทุเรียนที่จังหวัดจันทบุรีโดยชาวต่างชาติ เราจะเร่งเข้าไปตรวจสอบ และจะขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยให้ตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น" นายพิชัย กล่าว
ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า คณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย มีหน้าที่ดำเนินการใน 2 ด้านหลัก ได้แก่
- การควบคุมสินค้านำเข้า โดยจะดำเนินการควบคุมสินค้านำเข้า เพิ่มการตรวจสอบสินค้าที่เข้าสู่ประเทศไทยจากเดิม 20% เป็น 30% ตรวจสอบแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่น อย. และ มอก. และสินค้าคุณภาพต่ำบางส่วนไม่ได้ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่กระจายอยู่ในตลาดทั่วไป ดังนั้นต้องเพิ่มการตรวจสอบการขายแบบออฟไลน์ให้ครอบคลุม
- การตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว จะเน้นตรวจสอบเอกสารการถือหุ้น และรูปแบบการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ ที่บางกรณีพบว่าธุรกิจของชาวต่างชาติ อาจจดทะเบียนในชื่อคนไทยทั้งหมด ทำให้ตรวจสอบได้ยาก และบางธุรกิจจดทะเบียนในจังหวัดหนึ่ง แต่ดำเนินการจริงในอีกจังหวัด ซึ่งต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
รวมไปถึงธุรกิจบางประเภท เข้าข่ายเป็นธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ทำให้คณะทำงานชุดนี้ จะต้องลงพื้นที่ตรวจสอบทั้ง สินค้านำเข้าและธุรกิจนอมินี ควบคู่กันโดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เพื่อให้การตรวจสอบครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด