
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศปี 68 คาดเติบโตขึ้น 12% จากปีก่อน จากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนสัตว์เลี้ยง โดยพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุด และผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ ขณะที่มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปีนี้ คาดโต 15% ชะลอจากปีก่อน ตามความต้องการในตลาดคู่ค้าหลัก ที่คาดว่าจะโตช้าลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 68 ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงจะอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น โดยจำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยในปี 68 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็นสุนัข 3.45 ล้านตัว แมว 1.94 ล้านตัว ส่งผลให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 76% จะอยู่ในกลุ่มอาหารสุนัข

อย่างไรก็ดี ในอนาคต คาดว่า สัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 64-67 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี
ทั้งนี้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ศักยภาพของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุด และผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีสัตว์เลี้ยงอยู่ราว 3.1 แสนตัว คิดเป็น 6% ของจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และมีรายได้เฉลี่ยที่ 35,901 บาท/เดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศที่ 29,030 บาท/เดือน
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจะอยู่ที่ 46,000 ล้านบาท ในปี 68 ขยายตัว 12% จากปีก่อน และกำไรของธุรกิจคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น สอดคล้องไปกับยอดขายที่โตต่อเนื่อง
ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศแข่งขันรุนแรง จากจำนวนผู้เล่นในประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการนำอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามาแข่งขันมากขึ้นด้วย โดยในปี 67 ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีอยู่ 317 ราย โดยมีจำนวนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 36 ราย ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีผู้ประกอบการนอกธุรกิจอื่น ๆ อาทิ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที ฯลฯ ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามากขึ้น สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 62-67 อยู่ที่ 17% ต่อปี โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน ที่เป็นอันดับ 1 และมีสัดส่วนราว 40%
การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยังโตโดดเด่น ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อและจำนวนสัตว์เลี้ยงมาก โดยปัจจัยที่ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยโต มาจากพฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และสภาพสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง เช่น
- สหรัฐฯ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรสูงราว 85,373 เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีจำนวนสัตว์เลี้ยงในประเทศสูงถึง 144 ล้านตัว สะท้อนถึงมีกำลังซื้อที่พร้อมจะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง
- ญี่ปุ่น มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อยู่เกือบ 30% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังมักเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน
- ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ นิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้นเพื่อเติมเต็มความสุข โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมมีบุตรช้าหรือไม่แต่งงาน
นอกจากนี้ ในปี 62-67 อัตราการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12.7% ต่อปี โดยตลาดที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มและสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ และอาเซียน สะท้อนถึงโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง
ทั้งนี้ ในปี 68 คาดว่า ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงราว 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15% ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 28.4% โดยคาดว่าเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดหลัก อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี และญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50% โตช้าลง อย่างไรก็ดี ยังมีตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ เช่น อังกฤษ ที่จำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.2 ล้านตัว หลังช่วงโควิด-19 หรือนิวซีแลนด์ จากผลข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้มีการยกเว้นภาษีนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง จึงทำให้ยอดการส่งออกไปยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การแข่งขันในตลาดส่งออกยังคงมีแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านราคา และระยะขนส่งที่ใกล้กับตลาดคู่ค้าสำคัญ โดยไทยเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ ไทยต้องเจอคู่แข่งที่สำคัญอย่าง เม็กซิโก ที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะขนส่งที่ใกล้ หรือญี่ปุ่น ที่ไทยต้องแข่งกับเกาหลีใต้ ซึ่งได้เปรียบด้านราคา สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดของเกาหลีใต้ที่ส่งไปญี่ปุ่นปี 67 เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 64
- ต้นทุนการผลิตยังคงผันผวน โดยเฉพาะวัตถุดิบ อาทิ ปลาทูน่า ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตลดลง
- มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการทางการค้าอื่น ๆ ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย ไม่ว่าจะเป็น มาตรการ Farm to Fork ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยคาร์บอน และการตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่อาจขยายขอบเขตมายังภาคเกษตรและอาหาร ในการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือต้องเป็นไปตามแนวทางการทำธุรกิจแบบยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ด้วย