"ธีระชัย" จวกไอเดียซื้อหนี้จากแบงก์แค่วาทกรรมหาเสียง ดักคอคิดโยงเหรียญดิจิทัล

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 18, 2025 18:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยแสดงความเห็นต่อแนวคิดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงการซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคาร ว่า เป็นการอุ้มลูกหนี้ ซึ่งเป็นวาทะกรรมหาเสียงของอดีตนายกฯ ทักษิณที่สร้างความฮือฮา ด้วยการจะแก้ปัญหาประชาชนที่เป็นหนี้แบงก์และติดประวัติหนี้เสียที่เครดิตบูโรโดยเสนอแนวคิด ให้รัฐบาลซื้อหนี้ประชาชนไปจากแบงค์ เปิดให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อนชำระ โดยระบุว่าแบงก์ชาติอุ้มแบงก์พาณิชย์มากไป นายทักษิณจะอุ้มหนี้ประชาชนเอง

นับเป็นหมากเด็ดเพื่อหาเสียง ระบุกันว่าจากนี้ไป คนจะจำดิจิทัลวอลเล็ต มากกว่า 30 บาทรักษาทุกโรคย้อนกลับไปอดีต คุณทักษิณเป็นผู้โปรโมท 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างกว้างขวางนับเป็นประชานิยม ที่ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ และถูกใจประชาชนแบบไม่รู้ลืม แต่เมื่อจัดรูปแบบสวัสดิการพื้นฐานนี้ไปแล้ว ก็ควานหาประชานิยมอื่น หมุนไปหมุนมา รถคันแรก บ้านหลังแรก กองทุนหมู่บ้าน บ้านเอื้ออาทร จำนำข้าว ฯลฯ

อันที่จริง ถ้าจะผลักดันเศรษฐกิจไทยให้รุดหน้าจริง ต้องเข้าไปขันน็อตโครงสร้าง เพิ่มประสิทธิภาพ และป้องปรามคอร์รับชัน แต่ล้วนทำยาก ใช้เวลานาน พรรคเพื่อไทยจึงมุ่งมั่นอยู่แต่นโยบายประชานิยม พลิกแล้วพลิกอีกไปเรื่อยๆ ก็หาสิ่งใหม่ที่เหมาะสมได้ยากขึ้นๆ จนกระทั่งเกิดไอเดียดิจิทัลวอลเล็ตที่โปรโมทว่า จะใช้บล็อคเชนควบคุมทิศทางการใช้จ่าย จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันใจ ตรงเป้า และจะพาไทยก้าวกระโดด ขึ้นบันไดเศรษฐกิจดิจิทัล จากขั้นที่หนึ่ง พรวดเดียวขึ้นไปขั้นที่สิบ

แต่การออกเงินดิจิทัล จะกระทบการบริหารนโยบายการเงิน และการดูแลค่าเงินบาท แบงก์ชาติจึงระมัดระวัง รัฐบาลจึงหาทางอ้อมแบงก์ชาติ โดยเสนอร่างกฎหมายศูนย์การเงิน หน้าฉากโปรโมทเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์ระดับโลก แต่หลังฉากดูเหมือนเพื่อต้องการกระโดดข้ามหัวแบงก์ชาติมากกว่า ขณะนี้ ร่างกฎหมายอยู่ที่กฤษฎีกา

ล่าสุด คุณทักษิณเสนอประชานิยมตัวแม่ให้ซื้อหนี้ประชาชนออกมาจากแบงก์พาณิชย์ นายพิชัย รมว.คลัง ก็กระโดดรับพร้อมกล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้รับภาระหนี้ของประชาชน และไม่ใช่การใช้งบประมาณ

นายธีระชัย ระบุว่า แหล่งเงินที่จะมาดำเนินการได้มีเพียง 3 วิธี

1. ให้บริษัทเอกชนที่รัฐไม่ค้ำประกัน เป็นผู้เสนอซื้อหนี้ครัวเรือน (มีอยู่ 16 ล้านล้านบาท) โดยจ่ายเป็นเงินสด

ปัญหากรณีนี้

(ก) จะไม่มีแบงก์พาณิชย์เชื่อว่าเอกชนมีกำลังซื้อจริง

(ข) ถ้าเสนอซื้อหนี้โดยกดราคาต่ำ แบงก์พาณิชย์จะไม่ยอมขายเพราะต้องตัดหนี้สูญขาดทุน

(ค) ถ้าเสนอซื้อหนี้ในราคาสูง เอกชนผู้ซื้อจะขาดทุนเพราะมีค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บหนี้ ตลอดจนจะต้องฟ้องร้องยึดหลักประกันในที่สุด

2. ให้บริษัทเอกชนเป็นผู้เสนอซื้อหนี้ครัวเรือน (มีอยู่ 16 ล้านล้านบาท) โดยจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัลที่รัฐไม่ค้ำประกัน

ปัญหากรณีนี้

(ก) แบงก์ชาติจะไม่อนุมัติเพราะจะเท่ากับยอมให้เอกชนออกเงินตราได้เอง จะคุมปริมาณเงินไม่ได้

(ข) ถึงแม้ถ้าหากแบงก์ชาติอนุมัติ แบงก์พาณิชย์ก็จะไม่ยอมรับเหรียญดิจิทัลเพราะจะไม่มีหลักประกันว่า จะได้รับเงินจริงเมื่อครบกำหนด

3. ให้บริษัทเอกชนเป็นผู้เสนอซื้อหนี้ครัวเรือน (มีอยู่ 16 ล้านล้านบาท) โดยจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัลที่รัฐค้ำประกัน

ปัญหากรณีนี้

(ก) แบงก์ชาติจะไม่อนุมัติเพราะจะเท่ากับยอมให้รัฐบาลออกเงินตราได้เองซึ่งผิดหลักนโยบายการเงิน

(ข) กระทรวงคลังต้องถือเหรียญดิจิทัลเป็นหนี้สาธารณะทันที

(ค) จะเปืดช่องให้บุคคลใกล้ชิดนายกแพทองธารหรือพรรคเพื่อไทยหาประโยชน์ได้จากการปั่นเหรียญดิจิทัล

นายธีระชัย ระบุอีกว่า ต้องไม่ลืมว่ามีบุคคลใกล้ชิดนายกแพทองธารหรือพรรคเพื่อไทยหลายรายที่ได้จัดตั้งบริษัทธุรกิจเหรียญดิจิทัลจ้องรออยู่แล้ว จริงหรือไม่?

ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ประชาชนตั้งสติ อย่าไปเหลิงดีใจกับวาทะกรรมหาเสียง ที่ฟังสวยหรูแต่เป็นไปไม่ได้ การจะแก้ปัญหาหนี้ประชาชน โดยวาดฝันปากเปล่า ทำได้ง่าย แต่ไม่สามารถเป็นจริงไม่ต่างจากความฝันดิจิทัลวอลเล็ต ที่ผ่านมาเกือบสองปี ก็ยังติดหล่ม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ