
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กางข้อมูลสุขภาพทางการเงินของคนไทยในปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอ ความยากในการเข้าถึงสินเชื่อ โดยทั้งหมดนำมาซึ่งการก่อปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เป็นตัวกัดเซาะกร่อนบ่อนทำลายเศรษฐกิจประเทศ ในขณะที่สังคมกำลังมีวิวาทะกับแนวคิด "ซื้อคืนหนี้ประชาชน" พร้อมฝากผู้เห็นต่างเปิดใจรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริง แนะควรต่อสู้กับ "หลักการ" ไม่ใช่ต่อสู้กับ "คน"
นายสุรพล ระบุว่า ท่ามกลางบทสนทนาเกี่ยวกับการซื้อขายสิทธิเรียกร้อง หรือที่เรียกว่า "หนี้สิน" ระหว่างเจ้าหนี้เก่าไปยังเจ้าหนี้ใหม่ (ถ้าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น) นั้น มีข้อมูลจากสถาบันวิจัยป๋วย ณ เดือนม.ค.68 ซึ่งเป็นข้อมูลสถิติที่ไม่มีตัวตน จากเครดิตบูโรจำนวนกว่า 27 ล้านลูกหนี้ ไปแยกแยะสุขภาพทางการเงินจากภาระหนี้สิน พบว่าในระบบการเงินขณะนี้มีคนที่มีสุขภาพทางการเงินระดับดีที่สามารถยื่นกู้ได้เพียง 25% ส่วนที่เหลือดูมีเงื่อนไขยากที่จะได้รับอนุมัติตามมาตรฐานสินเชื่อในปัจจุบันที่เข้มถึงเข้มมาก

ขณะที่สินเชื่อในระบบที่มีการส่งข้อมูลมาที่เครดิตบูโรทุกเดือน จำนวน 13.6 ล้านล้านบาท ถ้าบวกเพิ่มด้วยหนี้ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ที่ปล่อยกู้สมาชิก, หนี้ กยศ. และอื่น ๆ จะรวมเป็น 16.3 ล้านล้านบาท หรือที่เรียกว่า "หนี้ครัวเรือน"
นายสุรพล ระบุว่า การเติบโตของหนี้ของบุคคลธรรมดาในระบบเท่ากับ -0.5%yoy นั่นหมายถึงสินเชื่อรายย่อยแทบไม่ขยับ เราจึงเห็นการบ่นทั่วแผ่นดินว่ากู้ไม่ได้, กู้ไม่ผ่าน, อัตราการปฎิเสธการให้สินเชื่ออยู่ในระดับที่สูง รายงานในหลายที่ต่างพูดถึงการหดตัวของสินเชื่อรายย่อย, SMEs เป็นต้น

"หากเจาะลงไปในไส้ในของหนี้ ของนาย ก.นาย ข.จะพบว่า 1.22 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสีย NPLs คิดเป็นจำนวนทุกประเภทสินเชื่อ 9.5 ล้านบัญชี, 5.8 แสนล้านบาท เป็นหนี้ที่กำลังจะเสีย, หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ (หนี้ SM) จำนวน 1.9 ล้านบัญชี หนี้เสียไปแล้ว จากนั้นนำมาปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา คือหนี้ NPLs เอามาทำ TDR กลายเป็นหนี้ปรับโครงสร้างอีก 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 3.7 ล้านบัญชี
ต่อมาคือหนี้ที่เริ่มค้างชำระ หรือเริ่มมีปัญหาแต่ยังไม่เกิน 90 วัน ซึ่งมีการรีบเร่งเอามาทำการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน หรือทำ DR เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ปกติ เริ่มเก็บข้อมูลเดือนเม.ย.67 ตอนนี้ยอดสะสมเท่ากับ 9.2 แสนล้านบาท จำนวน 1.7 ล้านบัญชี
นายสุรพล ระบุว่า ด้วยตัวเลขหนี้ที่มีลักษณะต่าง ๆ ข้างต้น ด้วยจำนวนมูลหนี้เป็นบาท ด้วยจำนวนที่นับเป็นบัญชีแล้ว เรามีปัญหาระดับที่อาจเรียกว่าวิกฤติได้ นอกจากนี้ การฟื้นตัวของรายได้ไม่มากพอ ไม่ทั่วถึง ยังมาไม่เต็มที่ และไม่เหมือนเดิม ประกอบกับคนที่พยายามจะขอกู้ติดกำแพง ดังนี้
- ชนกำแพงอายุ เพราะถ้าจะต้องผ่อนเกินอายุ 60, 65 ปี ใครเขาจะให้กู้
- ชนกำแพงรายได้ เพราะมีข้อกำหนดเรื่องหนี้ต่อรายได้ (Debt to income) เต็มศักยภาพการหารายได้มาจ่ายหนี้ถ้าจะก่อเพิ่มได้หรือไม่
- ชนกำแพงสถานะทางเครดิต คือ เป็นคนเคยค้างชำระ, เป็นคนที่กำลังค้าง, เป็นหนี้เสีย, เคยเป็นหนี้ปรับโครงสร้างหรือไม่
"เรามีคนสุขภาพทางการเงินดี 25% หรือประมาณ 5 ล้านคน ซึ่งหลายคนไม่มีความจำเป็นต้องกู้ ภาระหนี้สินกองเป็นภูเขา หลังจากเจอหลุมรายได้ มันฉุดกระชากเศรษฐกิจ เซาะกร่อนบ่อนทำลายรากฐานความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ดังนั้น มาตรการที่กำลังแก้อยู่ ไม่ว่า "คุณสู้ เราช่วย" "จ่ายตรง คงทรัพย์" "ปิด-จ่าย-จบ" หรือที่กำลังวิวาทะฝุ่นตลบ หากทางใดทางหนึ่งหรือทางหนึ่งทางใด จะทะลุปัญหานี้ นอกเหนือจากออกมาพูดเก๋ไก๋ว่าเป็นเรื่องโครงสร้าง แต่ไม่บอกวิธีแก้ชัด ๆ แล้ว เราควรใจกว้าง ๆ ใจร่ม ๆ เปิดรับฟังวิธีการ เราควรสู้กับเรื่อง ไม่ใช่สู้กับคนให้มีเรื่อง ต้องคิดบวก ไม่ใช่พร้อมบวก บ้านเมืองมันถึงจะวิวัฒน์ ถ้าติไปทุกเรื่อง มันก็วิบัติ ถอยออกมาดูข้อมูล ข้อเท็จจริงก่อน" นายสุรพล ระบุ