พาณิชย์โพล เผยภาระหนี้ประชาชนลดลงเล็กน้อย มาตรการรัฐช่วยแบ่งเบา

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 20, 2025 12:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พาณิชย์โพล เผยภาระหนี้ประชาชนลดลงเล็กน้อย มาตรการรัฐช่วยแบ่งเบา

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เดือนก.พ. 68 เกี่ยวกับภาระหนี้สินของประชาชน ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ 6,291 ราย ผลการสำรวจพบว่า สถานการณ์หนี้สินของประชาชนดีขึ้นเล็กน้อยจากผลสำรวจปี 66 และภาระหนี้นอกระบบลดลง

อย่างไรก็ตาม จากผลการสำรวจพบว่า กลุ่มอาชีพพนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน ยังเป็นกลุ่มอาชีพหลักที่มีสัดส่วนกลุ่มที่มีภาระหนี้มากที่สุด เช่นเดียวกับการสำรวจในรอบก่อนหน้า และผู้ตอบแบบสอบถาม มีสัดส่วนความต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด โดยมีรายละเอียดผลการสำรวจ ดังนี้

  • ภาพรวมภาระหนี้สินของประชาชน จากการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 50.99% มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งลดลงจากผลสำรวจปี 66 (ที่ 62.52%)

โดยเมื่อจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน เป็นกลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้มากที่สุดที่ 68.18%, 57.16% และ 53.15% ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการสำรวจของปี 66 ขณะที่กลุ่มนักศึกษา และผู้ไม่ได้ทำงาน และเกษียณอายุ มีสัดส่วนการมีภาระหนี้น้อยที่สุดที่ 20.51% และ 26.74% ตามลำดับ

ส่วนการจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้สินมากที่สุดที่ 81.25% รองลงมาคือ กลุ่มรายได้ระหว่าง 50,001-100,000 บาท ที่ 76.15% และกลุ่มรายได้ระหว่าง 40,001-50,000 บาท ที่ 62.96%

ทั้งนี้ จากผลสำรวจมีข้อสังเกตว่า รายได้มีลักษณะแปรผันตรงกับสัดส่วนการมีภาระหนี้ กล่าวคือ กลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น จะมีสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้มากขึ้น

  • สาเหตุของการเกิดหนี้ ในภาพรวมพบว่า การซื้อและผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และยานพาหนะ เป็นสาเหตุการเกิดภาระหนี้มากที่สุดที่ 27.47% รองลงมา คือการเกิดภาระหนี้จากค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มสูงขึ้นที่ 25.56% และการเกิดภาระหนี้เพื่อการลงทุนที่ 11.94%

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุ มีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาระหนี้มากที่สุด ซึ่งอาจสะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน

  • ประเภทของหนี้สิน ในภาพรวมพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระหนี้ มีสัดส่วนเป็นภาระหนี้ในระบบมากสุดที่ 79.89% รองลงมาด้วยการมีภาระหนี้ทั้งในระบบ และนอกระบบที่ 13.53% และสัดส่วนภาระหนี้นอกระบบที่ 6.58% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากผลการสำรวจในปี 66 (ที่ 7.19%)

โดยเมื่อจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานของรัฐ เป็นผู้มีสัดส่วนภาระหนี้ในระบบมากสุดที่ 90.37% รองลงมาคือ เจ้าของกิจการ และนักศึกษา ขณะที่เกษตรกร เป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีหนี้ทั้งในระบบ และนอกระบบ มากสุดที่ 22.20% และอาชีพรับจ้างอิสระ เป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบ มากสุดที่ 15.59% ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มอาชีพที่ไม่มีรายได้ที่ชัดเจนและแน่นอน

ส่วนเมื่อจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบและภาระหนี้ในทั้งสองระบบมากที่สุด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม อาจสะท้อนถึงปัญหาภาระหนี้ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูงมากนัก ซึ่งจำเป็นต้องหาแนวทางแก้ไขเพื่อบรรเทาภาระหนี้ของประชาชนกลุ่มดังกล่าว

  • รูปแบบหนี้สิน ในภาพรวมพบว่า มีรูปแบบหนี้จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมากที่สุดที่ 28.90% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ที่ 48.44%) ตามมาด้วยหนี้บัตรเครดิตที่ 24.45% และหนี้จากการกู้ยืมสหกรณ์ที่ 15.63% ขณะที่พนักงานเอกชน และกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือน 40,001-50,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้จากบัตรเครดิตมากที่สุด และพนักงานของรัฐ และผู้ไม่ได้ทำงาน และเกษียณอายุ มีสัดส่วนหนี้สินจากการกู้สหกรณ์มากที่สุด
  • การชำระหนี้รายเดือน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีหนี้ในระบบที่ต้องชำระไม่เกิน 10,000 บาท มากที่สุดที่ 56.79% รองลงมา คือ ชำระหนี้ 10,001-30,000 บาท ที่ 28.58% และชำระหนี้ 30,001-50,000 บาท ที่ 4.70% และในส่วนการชำระหนี้นอกระบบ มีผลการสำรวจสอดคล้องกัน กล่าวคือผู้ที่มีหนี้สินนอกระบบ มีการชำระหนี้รายเดือนไม่เกิน 10,000 มากที่สุด ที่ 23.69% รองลงมา คือ การชำระหนี้นอกระบบ 10,001-30,000 บาท และ 30,001-50,000 บาท ตามลำดับ
  • พฤติกรรมการปรับตัวจากผลกระทบของหนี้สิน ในภาพรวมพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามปรับตัวจากผลกระทบของหนี้ โดยวิธีการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากที่สุดที่ 27.83% รองลงมา คือ การหารายได้เพิ่ม ที่ 22.23% และการไม่ก่อหนี้สินเพิ่มเติมที่ 18.47%
  • ความช่วยเหลือที่ต้องการจากภาครัฐ ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระหนี้ มีความต้องการให้ภาครัฐออกมาตรกา รและนโยบายเพื่อช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชน โดยการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุดที่ 46.57% และรองลงมา คือ การพักหรือขยายเวลาการชำระหนี้ที่ 33.21% ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้ตอบแบบสอบถามในทุกกลุ่มอาชีพ อายุ และภูมิภาค

ขณะที่ความต้องการลำดับถัดมา คือ การสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ที่ 15.21% โดยกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี มีสัดส่วนความต้องการให้มีการสร้าง และส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้มากที่สุดที่ 45.45% และ 31.17% ตามลำดับ

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แม้สถานการณ์หนี้สินของประชาชนจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชน อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังคงติดตามและดูแลปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 68 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินด้วยอีกทางหนึ่ง

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาการเกิดหนี้อันเนื่องมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ผ่านการกำกับดูแลราคาสินค้า และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคในราคาที่เหมาะสม อาทิ งานธงฟ้าราคาประหยัด การจัดจำหน่ายน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในราคาประหยัด และการลดราคาช่วงเทศกาล ตลอดจนมีกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตร ซึ่งช่วยดูดซับผลผลิตส่วนเกิน และเพิ่มรายได้เกษตรกร พร้อมทั้งกระจายสินค้าตามฤดูกาลในราคาที่เหมาะสมสู่ประชาชนต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ