
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แนวคิดของภาครัฐในการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้เสียออกจากระบบ โดยเฉพาะหนี้อุปโภคบริโภคของลูกหนี้รายย่อย สะท้อนการตระหนักของภาครัฐเกี่ยวกับความซับซ้อนของปัญหาหนี้เสียที่ค้างอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลังจากผ่านวิกฤตมาหลายรอบ
แม้จุดเริ่มต้นของแนวคิดการจัดตั้ง AMC ในครั้งนี้ มีความเหมือนกับในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ตรงที่การมุ่งแยกหนี้เสียออกจากระบบ แต่ปัญหาในรอบนี้แตกต่างออกไป นั่นคือ หนี้เอ็นพีแอลทั้งธุรกิจและรายย่อยจำนวนไม่น้อยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และมาตรการช่วยเหลือจากทั้งธนาคารพาณิชย์และทางการ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจและรายได้ของลูกหนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ ต้นทุนการบริหารจัดการหนี้เนื่องจากเป้าหมายการแก้หนี้ที่เน้นหนี้รายย่อย ปัญหา Moral Hazard ของลูกหนี้ และการแก้ไขปัญหาจากฝั่งรายได้เพื่อให้การแก้หนี้มีความยั่งยืน

สุดท้ายนี้ การจัดตั้ง AMC จะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของระบบการเงินไทยในรอบนี้เพียงใด คงขึ้นกับการออกแบบ Business Model และรายละเอียดต่างๆ ที่จะตามมา ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อหลังจากนี้ ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567 เอ็นพีแอลของหนี้ภาคประชาชนที่เครดิตบูโร (หนี้ค้างชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไป) มีจำนวน 9.59 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ 1.2 ล้านล้านบาทนั้น สะท้อนการตระหนักของภาครัเกี่ยวกับความซับซ้อนของปัญหาหนี้เสียที่ค้างอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลังจากผ่านวิกฤตมาหลายรอบ โดยเฉพาะในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา

หากเทียบกับกรณีที่คล้ายคลึงกันของไทยคือ การจัดตั้ง AMC และ TAMC หลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่มีหนี้เสียสูงถึง 52.3% ของสินเชื่อรวมในเดือนพฤษภาคม 2542 หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท อันเกินกว่ากำลังของระบบสถาบันการเงินจะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้นนั้น ทำให้เกิดการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ของภาคเอกชนและภาครัฐตามมาตั้งแต่ปี 2540-2541 จนมีจำนวนกว่า 10 แห่ง เพื่อซื้อหนี้จากธนาคารแม่แยกออกไปบริหารจัดการเฉพาะต่อมาจึงมีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) หรือ TAMC ในปี 2544 เพื่อซื้อหนี้ก้อนใหญ่ในช่วงปลายวิกฤตดังกล่าว ประมาณ 7.8 แสนล้านบาท จากสถาบันการเงินไปบริหารเพื่อฟื้นฟูและ/หรือปิดจบหนี้
ตารางเปรียบเทียบบริบทปี 2540 และปัจจุบัน
วิกฤตปี 2540 รอบปัจจุบัน ขนาดของหนี้เสียระบบ สัดส่วนเอ็นพีแอลปรับขึ้นไปสูงสุด สัดส่วนเอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.70% ธนาคารพาณิชย์ ที่ 52.30% ของสินเชื่อรวม ต่อสินเชื่อรวม (4.99 แสนล้านบาท (2.5 ล้านล้านบาท) ณ พ.ค. 2542 ณ สิ้นปี 67) + Stage 2 อยู่ที่ 6.73% ต่อสินเชื่อรวม (1.24 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 67) จุดเริ่มต้นของการ การย้ายหนี้เสียออกมาที่ AMC มีแนวนโยบายช่วยลูกหนี้ให้ปลดหนี้ จัดตั้ง AMC จะทำให้สง.ดำเนินกิจการต่อได้ ง่ายขึ้น ด้วยการให้ AMC ซื้อหนี้จาก และทำให้ระบบการเงินมีเสถียรภาพ แบงก์มาบริหารในเงื่อนไขที่จะช่วย ลูกหนี้ผ่อนชำระในจำนวนที่ลดลง เนื่องจาก - มีสถาบันการเงินปิดตัว ทั้งนี้ จำนวนมาก,จำนวน บง.ลดลงจาก - แบงก์ไทยมีความเข้มแข็งของ 91 แห่งในช่วงก่อนวิกฤต มาที่ เงินกองทุนในระดับสูง 18 แห่ง/ ธพ. ลดลงจาก 15 - เอ็นพีแอลไม่สูง แต่ปัญหาหนี้เสียที่ มาที่ 13 แห่ง มีความซับซ้อนในการแก้ไข - สถาบันการเงินที่เหลือ เพิ่มขึ้น และมีสัญญาณลูกหนี้ที่จ่าย มีปัญหาความเพียงพอของ หนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้น ท่ามกลางปัญหา เงินกองทุน หนี้เสียสูง รายได้ที่กระทบความสามารถใน ทำให้ปล่อยสินเชื่อช้า การชำระหนี้ของลูกหนี้ การซื้อหนี้ - ธุรกิจและครัวเรือน - ครัวเรือน ของ AMC - กรณี TAMC ที่ตั้งในปี 2544 - ข้อมูลเครดิตบูโรชี้หนี้เอ็นพีแอล ซื้อหนี้ราว 7.8 แสนล้านบาท ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคภาคครัวเรือน จากสถาบันการเงิน อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 67 ภาพเศรษฐ เงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้มี ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังสูง กิจไทย FDI และส่งออกเพิ่มขึ้น กระทบรายได้ธุรกิจและครัวเรือน จนเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤต ทยอยฟื้นตัว
ทั้งนี้ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งและในครั้งนี้ มีความเหมือนกันตรงที่การมุ่งแยกหนี้เสียออกจากระบบ แต่กลับอยู่บนเงื่อนไขของเศรษฐกิจการเงินที่แตกต่างกัน ในช่วงวิกฤตปี 2540 การจัดตั้ง AMC จะเน้นซื้อหนี้ทั้งธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตจากอานิสงส์ของเงินบาทอ่อนค่าที่ส่งผลดีต่อ FDI และการส่งออกได้ช่วยให้ธุรกิจและครัวเรือนเห็นภาพรายได้ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ในระยะเวลาดังกล่าว ยังเป็นช่วงแรก ๆ ของตลาดการบริหารหนี้ และมีการแก้กฎหมายมีการจัดตั้งศาลล้มละลายกลาง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้มีองค์ประกอบหลายด้านที่สนับสนุนการแก้ไขหนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
ขณะที่ปัญหาในรอบนี้แตกต่างออกไป นั่นคือ หนี้เอ็นพีแอลทั้งธุรกิจและรายย่อยจำนวนไม่น้อยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และมาตรการช่วยเหลือจากทั้งธนาคารพาณิชย์และทางการสถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงทำให้ปัจจัยด้านรายได้ของธุรกิจและครัวเรือนไม่ชัดเจน ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสำเร็จในการแก้ไขหนี้
นอกจากนี้ ตลาดการบริหารหนี้ก็มีความท้าทายมากขึ้นจากการที่หนี้ที่ไหลเข้ามาในระยะหลัง แก้ยากขึ้นอีกทั้งการระบายทรัพย์สู่ตลาดตามกระบวนการทางกฎหมาย ก็น่าจะใช้เวลาเช่นกันท่ามกลางผู้ซื้อและอำนาจซื้อที่จำกัด
ดังนั้น แนวคิดในการจัดตั้ง AMC ในรอบนี้ จึงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปข้างต้นด้วย เพื่อออกแบบรูปแบบธุรกิจและกลไกการจัดการให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่
- เป้าหมายการแก้หนี้ที่เน้นหนี้รายย่อย จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการหนี้สูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากจำนวนบัญชีรายย่อยที่เครดิตบูโรมีจำนวนกว่า 9 ล้านบัญชี ซึ่งยังไม่ครอบคลุมถึงหนี้เสียของสหกรณ์นอนแบงก์ในธุรกิจลิสซิ่งหรือนอนแบงก์ที่ไม่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร
- ปัญหา Moral Hazard ของลูกหนี้ โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า การขายหนี้ให้ AMC บริหารลูกหนี้มีโอกาสได้รับเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ที่แตกต่างหรือผ่อนปรนกว่าเดิม โดยเฉพาะหาก AMC ซื้อหนี้ดังกล่าวมาในราคาที่ไม่สูง ซึ่งภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอย่างเช่นในปัจจุบัน อาจกระตุ้นให้ลูกหนี้ดีหรือลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาเลือกปฏิเสธการจ่ายหนี้และกลายเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้น ซึ่งจะกลับมาทำให้เจ้าหนี้ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นไม่เป็นผลดีต่อระบบการเงินโดยรวม ดังนั้น การตีกรอบเงื่อนไขการรับซื้อหนี้ของลูกหนี้จากสถาบันการเงินให้มีความเหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ระบบเครดิตของไทยยังยืนอยู่ได้ในอนาคต
- การแก้หนี้ที่ยั่งยืนยังต้องอาศัยการแก้ไขจากฝั่งรายได้ ควบคู่กับการสร้างวินัยและวัฒนธรรมในการใช้จ่ายที่ถูกต้อง จึงจะเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืนที่แท้จริง
ทั้งนี้ สุดท้าย การจัดตั้ง AMC จะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของระบบการเงินไทยในรอบนี้เพียงใด คงขึ้นกับการออกแบบ Business Model และรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะตามมา ทั้งรูปแบบการจัดตั้ง แหล่งเงินทุน ราคาซื้อหนี้ เงื่อนไขส่วนแบ่งผลขาดทุนหรือกำไรจากการบริหารหนี้ ตลอดจนระยะเวลาของโครงการว่าจะปิดตัวเมื่อบริหารหนี้จากการซื้อตามโครงการที่กำหนดเสร็จสิ้น หรือจะเป็น AMC ที่รับซื้อหนี้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่ดำเนินการอยู่จำนวนมากถึง 87 แห่งในปัจจุบัน เพราะจะมีผลต่อความร่วมมือในการขายหนี้ ผลกระทบต่อลูกหนี้ และเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม