ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.86/87 แกว่งตามภูมิภาค ไร้ปัจจัยใหม่ คาดกรอบต้นสัปดาห์หน้า 33.75-33.95

ข่าวเศรษฐกิจ Friday March 21, 2025 17:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 33.86/87 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจาก ช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 33.73 บาท/ดอลลาร์

ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ แต่ยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีผลต่อการทิศทางของค่าเงิน บาทมากนัก โดยเงินบาทยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค

"ระหว่างวันไม่มีปัจจัยสำคัญ ส่วนที่ส่งออกไทยเดือนก.พ.ขยายตัวสูง 14% ก็ไม่มีผลเท่าไรต่อค่าเงิน วันนี้บาทยังแกว่งใน กรอบ 33.70-33.90 ทองคำก็ย่อตัวลงจากเช้า" นักบริหารเงิน ระบุ

ทั้งนี้ ต้นสัปดาห์หน้า จะมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ตลาดรอติดตาม คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคผลิต- ภาคบริการขั้นต้น เดือนมี.ค. ของทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อียู อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.ของสหรัฐ จาก Conference Board และยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ.

นักบริหารเงิน คาดว่า เงินบาทต้นสัปดาห์หน้า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.75 - 33.95 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยน อยู่ที่ระดับ 149.40/41 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 149.12 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.0828/30 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0852 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,186.61 จุด เพิ่มขึ้น 4.90 จุด (+0.41%) มูลค่าซื้อขายราว 47,327.08 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 462.94 ล้านบาท
  • กระทรวงพาณิชย์ เผย เดือนก.พ.68 การส่งออกมีมูลค่า 26,707 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14% โดยขยายตัวต่อเนื่องเป็น
เดือนที่ 8 และขยายตัวในระดับ 2 digit ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากม.ค.68 ที่ขยายตัวได้ 13.6% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า
24,718 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 4% ส่งผลให้เดือนนี้ไทยกลับมาเกินดุลการค้าที่ 1,988 ล้านดอลลาร์ คาดทั้งปีมีลุ้นโตเกินเป้าหมาย 3%
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงประมาณการ GDP ปี 2568 ไว้ที่ 2.4% ซึ่งอัตราการขยายตัวดังกล่าว ได้รวมผลกระทบหากไทย
โดนมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 10% ไว้ด้วยแล้ว อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบ
มากกว่าที่ประเมิน อาจทำให้การขยายตัวของ GDP ปี 68 มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าคาดได้ แต่จะไม่ลดลงไปต่ำกว่า 2.0%
  • KKP Research ประเมินว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตได้ช้าลงกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้
เพียง 2.3% จากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาได้ต่ำกว่าที่คาด มองธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ย
นโยบาย เพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจลงไปต่ำสุดที่ 1.25% ในปี 69
  • โนมูระ โฮลดิงส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 1% ใน
ปี 69 ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา คาดว่า ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.75% ในปีหน้า ซึ่งการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ทั้ง 2 สำนัก บ่ง
ชี้ว่า ธปท.มีแนวโน้มที่จะเป็นธนาคารกลางที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ก่อนหน้านี้ ธปท.พยายามหลีก
เลี่ยงการปรับลดดอกเบี้ย และเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองก็ตาม
  • ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เรียกร้องให้มีการรวมกลุ่มทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบทาง
เศรษฐกิจจากความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) จากการวิเคราะห์ของ ECB ระบุว่า
หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากยุโรป 25% จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนลดลงประมาณ 0.3% ในปีแรก
  • องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เปิดเผยรายงานหนี้สินโลก (Global Debt Report)
ฉบับล่าสุด ระบุว่า พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ยังไม่มีการไถ่ถอนทั่วโลก มีมูลค่าสูงกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์ในปี
2567 เนื่องจากต้นทุนดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้กู้ต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก และจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของการลงทุน
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ กำลังจะครองตลาดคริปโทเคอร์เรนซี และเทคโนโลยีทางการ
เงินยุคถัดไป โดยทรัมป์ได้เน้นย้ำถึงมาตรการที่รัฐบาลของเขาได้ดำเนินการ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว
  • กระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยว่า จีนวางแผนที่จะเสริมสร้างเสถียรภาพการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2568 ด้วยการ

ดำเนินมาตรการที่เปิดกว้างในหลายภาคส่วน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ