
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองทิศทางเศรษฐกิจไทย 2568 เสี่ยงหลายปัจจัยลบ ทำภาคการผลิตหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่ 3 คาดแรงส่งจากการท่องเที่ยวช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้แบบจำกัด ขณะที่ยังคงประมาณการ GDP ปี 2568 ไว้ที่ 2.4% ซึ่งอัตราการขยายตัวดังกล่าว ได้รวมผลกระทบหากไทยโดนมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 10% ไว้ด้วยแล้ว
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากกว่าที่ประเมิน อาจทำให้การขยายตัวของ GDP ปี 68 มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าคาดได้ แต่จะไม่ลดลงไปต่ำกว่า 2.0%
น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากไทยโดนภาษีนำเข้า Reciprocal Tariff เพิ่มขึ้นอีก 10% คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ที่ -0.3% ซึ่งผลกระทบดังกล่าว ได้รวมไว้ในการประมาณการ GDP ปี 68 ที่ 2.4% แล้ว อย่างไรก็ตาม หากไทยโดนภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 25% คาดว่าจะส่งผลต่อ GDP เพิ่มขึ้นเป็น -0.6% และประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 68 ที่ปัจจุบันมองไว้ที่ 2.4% มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง แต่จะยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0%
"หากไทยโดนภาษีนำเข้า Reciprocal Tariff เพิ่มขึ้นอีก 10% คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ที่ -0.3% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวได้รวมไว้ในการประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.4% แล้ว อย่างไรก็ตาม หากไทยโดนภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 25% คาดว่าจะส่งผลต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น -0.6% และประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ปัจจุบันมองไว้ที่ 2.4% มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง แต่จะยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0%"
นอกจากนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 68 แทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จากผลกระทบสงครามการค้า ปัจจัยฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และแรงส่งทางเศรษฐกิจลดลง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังปี 68 โดยจะทำให้ ณ สิ้นปี อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 1.75% เนื่องจากมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น จากสงครามการค้า และสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนในปี 69 ส่วนเงินเฟ้อทั่วไป ยังคงคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 0.7% จากราคาพลังงานในประเทศที่ยังทรงตัว
ทั้งนี้ จากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) และการเปลี่ยนแปลงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกคงต้องเตรียมเผชิญกับความไม่แน่นอน และเตรียมรับมือกับผลกระทบด้านการจัดระเบียบการเงินครั้งใหม่ในอีกไม่นาน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 แทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จากผลกระทบสงครามการค้า ปัจจัยฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และแรงส่งทางเศรษฐกิจลดลง
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายทางด้านการขาดดุลการค้าอย่างเรื้อรัง และหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐฯ แนวทางการแก้ปัญหาที่เริ่มมีการกล่าวถึงมากขึ้นในปี 68 คือข้อตกลง Mar-a-Lago Accord คล้ายคลึงกับข้อตกลง Plaza Accord ในปี 2528 ที่สหรัฐฯ เคยนำมาใช้ โดยเป้าหมายหลักของ Mar-a-Lago Accord คือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐต้องอ่อนค่าลง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐฯ และการลดภาระหนี้สหรัฐฯ โดยประเทศพันธมิตรที่พึ่งพาการคุ้มครองด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ ต้องเข้ามาถือพันธบัตรรัฐบาล 100 ปี
นายบุรินทร์ เชื่อว่า นโยบายของทรัมป์ ที่จะประกาศมาตรการภาษีเพิ่มเติมในวันที่ 2 เม.ย.68 ประเทศไทยมีโอกาสเสี่ยงสูงมาก ซึ่งไทยจำเป็นต้องหาตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพราะการค้าโลกพึ่งพาไม่ได้แล้ว เนื่องจากนโยบายหลักของทรัมป์ ต้องการนำงานกลับประเทศ และลดดุลการค้าเป็นหลัก
สำหรับประเด็นความเสี่ยงด้านการเมือง ทั้งการอภิปรายในสัปดาห์หน้า หรือแนวโน้มในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะกระทบเศรษฐกิจหรือไม่นั้น มองว่า ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายยังไม่เข้าตาที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ และเรื่องปัญหาคอร์รัปชัน รัฐบาลต้องแก้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ ส่วนเรื่องการปรับ ครม. มองว่า ประเทศไทยคุ้นชินกับการเปลี่ยนครม. อยู่แล้ว ที่สำคัญคือเปลี่ยนคนได้ แต่อย่าเปลี่ยนนโยบายที่ดีอยู่แล้ว ส่วนนโยบายที่คิดว่ายังไม่ดีก็ควรเปลี่ยน
สำหรับการเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท มองว่า ต้องดูความคุ้มทุน ปัญหาของเศรษฐกิจไทยตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการบริโภค แต่เป็นเรื่องการลงทุน ซึ่งอาจนำงบที่มีจำกัดไปกระตุ้นในส่วนนี้ พร้อมมองว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ก็อาจนำงบไปใช้ส่วนอื่น เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างจะทำให้ GDP ไทยจะลดลงเรื่อย ๆ รวมทั้งจากหลายปัจจัยทั้งสังคมสูงวัย และอุตสาหกรรมที่เริ่มประสบปัญหาด้วย จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญในส่วนนี้
นอกจากนี้ เราอาจต้องดึงต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาในไทย อาจต้องมีการปรับลดภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ หาอุตสาหกรรมใหม่ และหาเงินใหม่เข้าประเทศ ทั้งหมดเป็นโจทย์ของประเทศไทย
นายรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าต่อตลาดรถยนต์โลก โดยมองว่าจะทำให้ตลาดรถยนต์โลกเกิดการแข่งขันสูงขึ้น ภาวะอุปทานรถยนต์ล้นเกินของโลกรุนแรงขึ้น และราคารถยนต์ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง โดยประเทศผู้ผลิตรายหลักในตลาดโลก เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และเกาหลีใต้ จะกระจายตลาดส่งออกรถยนต์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดสหรัฐฯ ลดผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า
ทั้งนี้ การแข่งขันในตลาดรถยนต์โลกที่เพิ่มสูงขึ้น คาดว่าจะซ้ำเติมภาวะอุปทานรถยนต์ที่ล้นเกินของโลกให้รุนแรงขึ้น จากปัจจุบันที่ยอดผลิตรถยนต์โลกมีจำนวนที่สูงกว่ายอดขายรถถึง 16% นอกจากนี้ ราคารถยนต์ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ยกเว้นตลาดสหรัฐฯ จากการที่ค่ายรถยนต์จีนน่าจะยังใช้กลยุทธ์ด้านราคาต่อเนื่อง ซึ่งการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว คาดว่ายังจะส่งผลต่อการส่งออกรถของไทย และต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตรถ ซึ่งปัจจุบันพึ่งพาตลาดส่งออกสูงถึง 67% ของยอดการผลิตรถทั้งหมดของไทย
ด้าน น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ ฉุดการผลิตอุตสาหกรรมไทยให้เสี่ยงหดตัวราว 1% ซึ่งจะเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะได้รับผลกระทบทางตรงจากการปรับขึ้นภาษี และคำสั่งซื้อที่ลดลงของสหรัฐฯ เนื่องจากพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออกสำคัญ ส่วนรถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม ถูกกระทบทางอ้อมจากการแข่งขันที่รุนแรง ท่ามกลางเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอลง สิ่งที่ตามมาคือ แรงงานในภาคการผลิตที่ทักษะต่ำ จะมีความเสี่ยงด้านรายได้ โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ เริ่มมีสัญญาณการปิดตัวเพิ่มขึ้น และเป็นขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งสถานการณ์คงจะท้าทายมากขึ้นอีกเมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในต้นเดือนเม.ย. นี้
นอกจากนี้ ในปี 68 ไทยคงคาดหวังแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน หลังจำนวนนักท่องเที่ยว 2 ชาติหลัก อย่างจีน และมาเลเซียลดต่ำลง อีกทั้งการแข่งขันกันดึงนักท่องเที่ยว และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้การฟื้นตัวของตลาดต่างชาติเที่ยวไทยกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดหรือมากกว่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
"คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะกลับมาใกล้กับช่วงก่อนโควิดที่ 37.5 ล้านคน นักท่องเที่ยวจีน อาจมาไม่ถึง 7.5 ล้านคน ขณะที่รายได้น่าจะโตชะลอลงในปีนี้" น.ส.เกวลิน กล่าว
น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ทิศทางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาลง ทั้งในและต่างประเทศ แต่สำหรับภาคเอกชนไทยที่มีแผนระดมทุน อาจต้องระวังว่าต้นทุนการระดมทุนอาจไม่ได้ลดลงมากอย่างที่คาด เพราะนักลงทุนในประเทศยังแสดงสัญญาณระมัดระวัง ทำให้ Spread หุ้นกู้บางกลุ่มยังปรับขึ้น
ด้านค่าเงินบาท คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-34.50 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 2/68 โดยมีโอกาสแข็งค่าในระยะสั้น ตามการปรับขึ้นของราคาทองคำ และการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างไรก็ดี ยังแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินในภูมิภาค เพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่ดี และดอกเบี้ยน่ามีโอกาสจะลงอีก
"ราคาทองปีนี้ มีโอกาสไปถึง 3,200 ดอลลาร์/ออนซ์ได้ ซึ่งราคาทองมีความสัมพันธ์กับเงินบาท 0.83% ดังนั้น หากทองปรับขึ้นไปที่ระดับดังกล่าว มีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าไปแตะที่ 32.00 บาท/ดอลลาร์ได้ แต่ทั้งนี้ เป็นกรณีที่ราคาทองเป็นปัจจัยเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทอีก โดยในช่วงครึ่งปี หลังการปรับอัตราดอกเบี้ยของ กนง. และแนวโน้มเศรษฐกิจไทย อาจทำให้เงินบาทมีแนวโน้มกลับไปอ่อนค่าได้" น.ส.ธัญญลักษณ์ กล่าว
ส่วนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทย เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ส่วนหนึ่งเป็นการย้ายมาจากตลาดตราสารหนี้ ทำให้ทั้งปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงมุมมองว่าสินเชื่อจะโตไม่สูงที่ 0.6% โดยสินเชื่อ SME และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ น่าจะยังหดตัว สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจและอำนาจซื้อที่ไม่แน่นอน ขณะที่มองว่ามาตรการ LTV ที่เพิ่งผ่อนคลาย จะทำให้ประมาณการสินเชื่อบ้านปีนี้โตเพิ่มขึ้นได้อีก 0.1-0.2% เป็น 0.6% จากประมาณการเดิมที่ 0.5%