รัฐชี้ช่องโอกาสทอง ปลูกต้นไม้ขายคาร์บอนเครดิต-หลักประกันขอสินเชื่อ

ข่าวเศรษฐกิจ Saturday March 22, 2025 11:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รัฐชี้ช่องโอกาสทอง ปลูกต้นไม้ขายคาร์บอนเครดิต-หลักประกันขอสินเชื่อ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยผลวิเคราะห์ธุรกิจประจำเดือน ก.พ.68 พบว่าธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับและไม้ยืนต้นเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างโอกาสให้คนไทยและเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีภูมิประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีแหล่งน้ำที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกต้นไม้ให้งอกงามเจริญเติบโตได้ดี ประกอบกับคนไทยส่วนใหญ่มีทักษะในการเพาะปลูกเป็นทุนเดิมทำให้สามารถต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้จากธุรกิจได้โดยง่าย สอดรับกับข้อมูลของสำนักงานสถิติที่พบว่าไทยมีผู้ทำการเกษตรจำนวน 8.6 ล้านราย บนพื้นที่ 141 ล้านไร่ จำนวนนี้เป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชผัก สมุนไพร และไม้ดอกไม้ประดับจำนวน 202,801 ราย ในพื้นที่กว่า 7 แสนไร่

"โอกาสที่เกษตรกรต้องคว้าไว้คือ การปลูกต้นไม้เพื่อขายเป็นคาร์บอนเครดิต รวมถึงการนำต้นไม้ยืนต้นมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน นำไปใช้หมุนเวียนหรือขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีมากขึ้นทุกปี" นางอรมน กล่าว

โดยมีข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น (ณ วันที่ 28 ก.พ.68) จำนวน 2,993 ราย (แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 4,213 ล้านบาท และกลุ่มขาย 13,457 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) 2,727 ราย (กลุ่มผลิต 378 ราย และกลุ่มขาย 2,349 ราย) รองลงมาเป็นธุรกิจขนาดกลาง (M) 208 ราย (กลุ่มผลิต 3 ราย และกลุ่มขาย 205 ราย) และเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ (L) 58 ราย (กลุ่มผลิต 2 ราย และกลุ่มปลีก 56 ราย)

สำหรับธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผลิต อาทิ การทำสวนไม้ประดับ, การปลูกพืช เพาะพันธุ์ และขยายพันธุ์พืชอื่นๆ, ปลูกกล้วยไม้ และปลูกไม้ดอกอื่นๆ และ 2) กลุ่มขาย อาทิ ขายส่งดอกไม้ต้นไม้และเมล็ดพันธุ์พืช และร้านขายปลีกดอกไม้ต้นไม้และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากข้อมูลผลประกอบการจะเห็นว่าปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 91,501 ล้านบาท กลุ่มขายสร้างรายได้สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผลิตสร้างรายได้ 4,125 ล้านบาท และขาดทุน -54.69 ล้านบาท อย่างไรก็ดี พิจารณาย้อนหลังไป 3 ปี (2564-2566) กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนี้ 1,842 ล้านบาท, 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ โดยอนาคตคาดว่าผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่องเพราะรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เน้นสร้างความแข็งแกร่งของเกษตรกร พร้อมเปิดตลาดผลไม้ดอกไม้ประดับของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตและส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ในปี 2566 สร้างมูลค่าการส่งออกกว่า 4,548 ล้านบาท และในปี 2567 สร้างมูลค่าส่งออกกว่า 4,777 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 9,325 ล้านบาท โดยส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯ เวียดนาม และญี่ปุ่น และสินค้าที่สร้างมูลค่าเกินกว่าครึ่งของการส่งออกไม้ดอกฯ คือ กล้วยไม้ไทย ที่เป็นแชมป์อันดับ 1 ของโลกมาโดยตลอด ในปี 2566 สร้างมูลค่า 2,679 ล้านบาท และปี 2567 สร้างมูลค่ากว่า 2,755 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 5,434 ล้านบาท ส่งออกไปที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทยมีมูลค่าการลงทุน 4,461 ล้านบาท โดยลงทุนในกลุ่มผลิต 1,319 ล้านบาท และกลุ่มขาย 3,142 ล้านบาท ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน มูลค่าการลงทุน 1,742 ล้านบาท สิงคโปร์ มูลค่าการลงทุน 449 ล้านบาท และดัตซ์ มูลค่าการลงทุน 327 ล้านบาท

หากเกษตรกรสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร เปลี่ยนวิถีเกษตรกรแบบเดิมให้เป็น Farmer Business และทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) จะช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้แรงงาน เพิ่มคุณภาพมาตรฐานให้สินค้า บริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น การพยากรณ์ลม ฟ้า อากาศ หรือการปรับปรุงคุณภาพดินให้เหมาะสมกับพืชที่จะปลูก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ