กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินทิศทางเงินบาทสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-34.25 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 33.87 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.55-33.89 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.25-4.50% โดยเฟดปรับลดประมาณอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ ลงเป็น 1.7% จาก 2.1% และปรับเพิ่มแนวโน้มเงินเฟ้อ PCE พื้นฐานเป็น 2.8% จาก 2.5% สะท้อนผลกระทบด้านลบจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับทิศทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เฟดประกาศปรับนโยบายการคุมเข้มเชิงปริมาณ (QT) เพื่อผ่อนคลายสภาวะทางการเงิน ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) คงดอกเบี้ยที่ 0.50% และ 4.50% ตามลำดับ
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้น และพันธบัตรไทย สุทธิ 3,502 ล้านบาท และ 539 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ ตลาดจะติดตามข้อมูลเงินเฟ้อ PCE พื้นฐานเดือนกุมภาพันธ์ และจีดีพีไตรมาส 4 ของสหรัฐฯ หลังจากเฟดแสดงท่าทีล่าสุดว่า ต้องการเห็นการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนภาษีศุลกากรซึ่งกันและกัน (Reciprocal Tariff) ของทรัมป์ในช่วงต้นเดือนเมษายน รวมถึงกำแพงภาษีสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา
อย่างไรก็ตาม ประมาณการดอกเบี้ย (Dot Plot) ชุดใหม่ของเฟด ที่บ่งชี้ว่ายังคงอาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ตาม Dot Plot ครั้งก่อนหน้า ทำให้เราตีความว่าเฟดพร้อมลดดอกเบี้ยลงอีก แม้ว่าการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในปีนี้ก็ตาม โดยเฟดยินดีที่จะมองข้ามการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในระยะสั้น
ทั้งนี้ ประธานเฟดระบุว่ากรณีฐานของเฟด คือ ผลของการขึ้นภาษีต่อเงินเฟ้อเป็นเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว (One-off) เห็นได้จากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับปี 69 และ 70 ที่ไม่เปลี่ยนไปจากประมาณการเดิม อนึ่ง ในภาพรวมคาดว่าดอลลาร์อาจย่ำฐานในระยะนี้ โดยแม้ความกังวลเรื่องภาษีศุลกากรอาจหนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่แรงซื้อจะถูกจำกัดโดยความเสี่ยงด้านขาลงต่อการเติบโตของสหรัฐฯ
สำหรับปัจจัยในประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานยอดส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ขยายตัว 14.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยเกินดุลการค้า 2.0 พันล้านดอลลาร์ ทางการคาดว่าจากแรงส่งปัจจุบัน อาจทำให้ส่งออกเติบโตได้ 10% ในไตรมาส 1/68 และเกิน 3% ในปีนี้