ทิสโก้หั่น GDP ไทยปี 68 เหลือ 2.8%ยังเสี่ยงนทท.พลาดเป้า-มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 27, 2025 13:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่าจากความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น TISCO ESU ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0% โดยยังไม่นับรวมหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยโดยตรง และมองว่า GDP ยังมีดาวน์ไซด์มีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้เพียง 2.1% ต่ำกว่าปี 67 ที่ขยายตัว 2.5%

โดยความเสี่ยงที่จะกระทบต่อ GDP ไทยปีนี้ ได้แก่ ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่อาจพลาดเป้า จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง หลังจากกระแสข่าวลบช่วงต้นปีที่กระทบต่อความเชื่อมั่น มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มท่องเที่ยวในประเทศมากกว่า หรือถ้าออกนอกประเทศก็จะเดินทางพื้นที่ไกล ฝั่งยุโรป ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัย มองว่าอาจต้องปรับลดเป้านักท่องเที่ยวลงประมาณ 2 ล้านคน

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ (Reciprocal Tarif) ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.35-0.50 bps โดยความเป็นไปได้ที่สหรัฐ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่ม ต้องดูที่ส่วนต่างอัตราภาษีระหว่างสหรัฐและไทย ที่เรียกเก็บในปัจจุบันซึ่งมีส่วนต่างประมาณ 5% อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสินค้าที่ถูกเรียกเก็บเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสินค้าหลักที่ถูกส่งออกไปยังสหรัฐ อาทิ เครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล โซลาร์รูฟท็อป ยางพาราโดยเฉพาะยางรถยนต์ กลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงเป็นอันดับต้น ๆ

อีกทั้งยังมีความกังวลจากภาคการผลิตซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 67 และนำเข้ามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าจากจีน และการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งปีที่แล้วคาดการณ์ว่าปี 68 จะมีการลงทุนจำนวนมากจากยอดการขอ BOI แต่หากไทยถูกเรียกเก็บภาษี ประเมินว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะยกเลิกแผนการลงทุน แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนในการผลิต เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง แผนวงจรไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ รวมไปถึง Data Center ที่มีความเสี่ยง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องใช้พลังงานสะอาดและสามารถเจรจากับเอกชนให้ราคาค่าไฟถูกลงได้ ซึ่งมีการขอการลงทุนไปแล้วแต่ยังไม่เห็นความคืบหน้า คาดหวังให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการ ก่อนที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ

"ปีนี้อาจดูแย่กว่าที่คิดไว้ แต่เรายังคิดว่าครึ่งแรกยังเติบโตได้ระดับ 3% จากส่งออกและการเร่งเบิกจ่ายงบ แต่ครึ่งหลังคาดโตระดับ 2% ยังไม่รวมผลกระทบกำแพงภาษีและท่องเที่ยวจีนจะไม่กลับมาเลยรึเปล่า"

อย่างไรก็ตามมองว่าปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายงบลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ แต่ต้องติดตามต่อว่าโครงการต่าง ๆ จะสามารถผ่านร่างกฎหมายและดำเนินการแล้วเสร็จได้ในปีนี้หรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นความเสี่ยงที่ปีนี้อาจไม่เห็นเม็ดเงินลงทุนจากโครงการใหญ่ ๆ ของภาครัฐ แต่การลงทุนในโครงการเล็ก ๆ หลายโครงการอาจหนุนเศรษฐกิจให้โตได้ แต่อาจชะลอบ้างจากปีก่อน

*กนง.ปรับลดดอกเบี้ยเร็ว หากศก.แย่อาจลดลงอีก

ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 2.00% ในการประชุมครั้งแรกของปี สวนทางกับท่าทีที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนหน้านี้ โดยกนง. ให้เหตุผลว่าภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ และความเสี่ยงด้านลบเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ยังย้ำว่าเป็นการ "ปรับสมดุลของดอกเบี้ย ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง"

อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ที่ 2.8% คาดว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00% ตลอดทั้งปี แต่หากได้รับผลกระทบจาก 2 ปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวไปข้างต้น มีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกราว 1 - 2 ครั้ง ในปีนี้หรือลงมาอยู่ที่ 1.50-1.75% ต่อปี โดยขึ้นอยู่กับในระยะข้างหน้าจะมี Negative Shock เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่โดยต้องจับตารายละเอียดนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เมษายนนี้

*ตลาดผันผวนแนะปรับพอร์ต

ขณะที่ นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกเผชิญกับแรงขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับลดประมาณ 10% จากจุดสูงสุด นำโดยหุ้นกลุ่ม "7นางฟ้า" ที่เคยเป็นผู้นำตลาดในช่วงขาขึ้น กลับกลายเป็นตัวฉุดตลาดในรอบนี้ โดยปัจจัยหลักที่กดดันตลาดมาจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแอลงแรง ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ความตึงเครียดของสงครามการค้าที่ยังไม่มีข้อยุติ ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด ซึ่งต้องจับตาการประกาศนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เม.ย.นี้

ในภาวะตลาดผันผวนนี้ TISCO ESU แนะนำให้นักลงทุน "ปรับพอร์ต" โดยเน้นอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล และกลุ่มที่มีรายได้หลักจากตลาดในสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงของการ ถูกตอบโต้จากสงครามการค้า ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี จากส่วนต่าง อัตราดอกเบี้ยที่ขยายตัว และได้รับประโยชน์จากนโยบายลดกฎระเบียบในภาคการเงิน (Bank de-regulation) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และกลุ่มพลังงานในสหรัฐฯ ที่แม้ราคาน้ำมันจะปรับฐานลงจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ แต่มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่งในระยะข้างหน้า

"ในกรณีเลวร้าย หากสงครามการค้ายกระดับขึ้น และสหรัฐฯ ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้า ทั่วโลก (Universal Tariff) ที่ระดับ 10% เราประเมินว่า ผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 4-5% แต่มองไปข้างหน้า ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น ความพยายามในการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ในปัจจุบันเหลือ 15% ซึ่งหากทำได้จริง จะส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ราว 4% และคาดว่าจะช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากกำแพงภาษีได้เกือบทั้งหมด" นายคมศรกล่าว

ด้านนายธนธัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกภายใต้ยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนักวิเคราะห์เรียกข้อตกลงดังกล่าวว่า "Mar-A-Lago Accord" ตามชื่อบ้านพักของทรัมป์ ซึ่งเป็นการรวมแนวคิดทั้งหมดของทรัมป์ไว้ด้วยกัน ได้แก่ การผลักดันยุโรปให้รับภาระด้านความมั่นคงมากขึ้น การดึงฐานการผลิตกลับประเทศ และการจัดระบบการค้าโลกใหม่เพื่อลดบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ผลักดันดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจโลก (Global Economic Policy Uncertainty Index) ให้พุ่งสูงกว่าช่วงล็อกดาวน์ในปี 2563 สะท้อนถึงความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

*ตราสารหนี้โลก - น้ำมันดิบ ทางเลือกที่น่าสนใจ

การลงทุนภายใต้บริบทโลกที่เปลี่ยนไป TISCO ESU มองว่า ตราสารหนี้โลก (Global Fixed Income) จะเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้หากลงทุนในตราสารหนี้โลกในช่วงนี้ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสและเยอรมนีปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 15 ปีแล้ว ขณะที่ Real Yield ของญี่ปุ่นเองก็เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่เกือบไม่ติดลบ แม้ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกบ้าง แต่ประเมินว่าความเสี่ยงดังกล่าว ค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ซึ่งเริ่มเห็นการ Outperformed พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจ คือ น้ำมันดิบ ซึ่งมีโอกาสได้รับแรงหนุนจากกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการคลัง โดยเฉพาะในยุโรปและจีน ที่มีแนวโน้มต้องนำทรัพยากรการคลังออกมาใช้มากขึ้น เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป แม้ราคาน้ำมันดิบ WTI จะปรับตัวลดลงติดต่อกันนานกว่า 7 สัปดาห์ในช่วงต้นปี แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และตลาดยังซึมซับข่าวลบไปค่อนข้างมากแล้ว

ทำให้ TISCO ESU มองว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 70 - 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงกลางปีนี้ ตามปัจจัยฤดูกาลที่อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกมักเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน

โดยแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนหุ้น 60% ตราสารหนี้โลก 40% โดยลงทุนหุ้นแบ่งเป็นหุ้นโลก 40% ทองคำ 5% น้ำมัน 5% หุ้นสถาบันการเงินสหรัฐ 5% และญี่ปุ่น 5%

*เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว แต่ไม่ถึงขั้นถดถอย

ขณะที่นายธนภัทร ธนชาต ผู้ช่วยนักวิจัย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของ ข้อมูลเศรษฐกิจว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีสัญญาณชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดส่วนใหญ่เป็นผลจากการตอบแบบสอบถาม (Soft Indicators) เช่น ความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ปรับตัวลงรุนแรง ขณะที่ตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การจ้างงาน รายได้ การใช้จ่ายและการผลิต ยังแข็งแกร่งและไม่มีสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ชัดเจน

ด้านนโยบายการเงินของสหรัฐฯ TISCO ESU ประเมินว่า ในปี 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง ที่ระดับ 0.50% โดยความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ยังไม่ชัดเจนทำให้ Fed ต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันยังต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านเงินสูง (Upside Risks) ต่ออัตราเงินเพ้อ และความเลี่ยงด้านต่ำ (Downside Risks) ต่อเศรษฐกิจให้ดี ก่อนตัดสินใจปรับเปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินในอนาคต

*ยุโรปมีสัญญาณฟื้นตัวแต่ยังต้องจับตา

ในส่วนมุมมองต่อเศรษฐกิจยุโรป TISCO ESU มองว่า ยุโรปมีสัญญาณฟื้นตัวในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากเยอรมนี่มีแผนขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชบเซามานานกว่า 2 ปี และเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกในช่วงปี 2569-2570 หลังได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อย จากขนาดของมาตรการที่ใหญ่ และมีโครงการลงทุนที่หลากหลาย จึงอาจช่วยหนุนให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้ง จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนี และทั่วทั้งยุโรปมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอาจใช้เวลานาน ทำให้เศรษฐกิจยุโรปในปี 2568 อาจไม่ได้ขยายตัวมากนัก อีกทั้งเศรษฐกิจยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น จึงต้องติดตามกระบวนการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ