นักวิชาการแนะไทยผนึกอาเซียนต่อรองสหรัฐฯ มองสงครามการค้าบานปลายฉุด GDP ปีนี้ติดลบ

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday April 6, 2025 17:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การทำงานเชิงรุกเพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยไม่ให้จีดีพีของไทยขยายตัวต่ำกว่า 2% หากไม่สามารถเจรจาลดภาษีได้เลยมีโอกาสเช่นเดียวกันที่อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยอาจติดลบถ้าภาคส่งออกติดลบเกิน 5%

การผนึกกำลังกับประเทศอาเซียนเพื่อไปเจรจาต่อรองร่วมกันจะเพิ่มอำนาจต่อรองให้ประเทศไทย ผู้นำอาเซียนต้องหารือกัน หากแต่ละประเทศเจรจาแบบทวิภาคีกับสหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเลยและอาจต้องทำตามผลประโยชน์ทางการค้าและเศรษฐกิจตามที่สหรัฐฯ ต้องการเป็นหลัก การลดอัตราภาษีให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ การเปิดตลาดและการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯเป็นกลยุทธการเจรจาที่ทุกประเทศน่าจะนำมาใช้เช่นเดียวกัน หากกลยุทธเหล่านี้ทำในนามของ "อาเซียน" ย่อมมีพลังมากกว่ การไปเจรจาแบบทวิภาคี

อย่างไรก็ตาม การจะนำเอามาตรการลดภาษีนำเข้าให้สินค้าสหรัฐฯ ไปแลกกับการลดกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อสินค้าไทยก็ต้องดำเนินการโดยประเมินผลกระทบข้างเคียงด้วย เพราะอัตราภาษีนำเข้าของสินค้าบางตัวของไทยนั้นเป็นไปเพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ การแลกได้แลกเสีย (Trade Off) ล้วนเกี่ยวพันกับมิติเศรษฐศาสตร์การเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่ประเด็นเศรษฐกิจล้วนๆ อย่างประเด็น Market Access ที่กลุ่มทุนบริการของสหรัฐฯ ต้องการให้เกิดขึ้น กลุ่มทุนบริการของไทยที่มีอำนาจผูกขาดในโครงสร้างตลาดภายในย่อมต่อต้านไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงและต้องการรักษาอำนาจผูกขาดไว้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ธุรกิจอุตสาหกรรมการเงิน เป็นต้น หรือภาษีเพื่อปกป้องภาคเกษตรกรรมของไทย

นอกจากนี้ ไทยควรมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งและเข้าร่วม North Asia and AEC New Free Trade Zone เนื่องจากจีนประกาศเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 34% และประกาศไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทย และประกาศเจรจาตั้ง Free Trade Zone ใหม่กับ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซึ่งไทยและอาเซียนควรเข้าร่วมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ (Economic Integration) ใหม่นี้

ผลของนโยบายกีดกันทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์โดยเฉพาะการเก็บภาษีพื้นฐาน 10% ทุกประเทศพร้อมเก็บภาษีตอบโต้จะทำให้โครงสร้างและพัฒนาการของระบบการค้าเสรีของโลกเปลี่ยนแปลงไป โลกาภิวัตน์จะไม่เหมือนเดิม การเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าทำให้ระบบการค้าเสรีของโลกภายใต้ระบบ WTO ล่มสลายลง อัตราภาษีศุลกากรขึ้นไปสูงที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งหนักเช่นเดียวกันกับช่วงเกิดการแพร่ระบาดของ Covid-19 และการที่จีนและกลุ่มอียูก็ตอบโต้ทางการค้าด้วยกำแพงภาษีนำเข้าเช่นเดียวกัน ย่อมทำให้ผลสุทธิทางด้านสวัสดิการเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของโลกจะย่ำแย่ลงอย่างมาก จะสะท้อนมาที่ปริมาณและมูลค่าการค้าโลกจะลดลงอย่างรุนแรงในปีนี้ รวมทั้งอัตราการขยายตัวจีดีพีของโลกจะลดลงจากปัจจัยดังกล่าว ประเทศจีนอาจมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากการถูกขึ้นภาษีถึง 54% ในสินค้าทุกประเภท อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอาจต่ำกว่า 3% หากจีนไม่สามารถหาตลาดอื่นๆ มาชดเชยได้ ภาคส่งออกเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญคิดเป็นสัดส่วน 14% ของการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจีนปีนี้

งานวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก และ ธนาคารโลก ล้วนบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องทางการค้ามีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกมากภายใต้โครงสร้างการผลิตของโลกที่มีลักษณะเป็นห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก การขึ้นกำแพงภาษีนอกจากกระทบต่อการเติบโตของการค้าเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังกระทบต่อการจ้างงานโดยรวม กระทบต่อผลิตภาพ รวมทั้งกดทับการสร้างมูลค่าของสินค้าและบริการต่าง ๆ การกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาอาจทำให้ดุลการค้าสหรัฐฯ ดีขึ้นในระยะสั้น ปกป้องอุตสาหกรรมและตลาดแรงงานภายในได้ระดับหนึ่ง แต่จะเกิดต้นทุนต่อเศรษฐกิจ โดยอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น อัตราการเติบโตในระยะยาวลดลงได้

นายอนุสรณ์ คาดว่า การชุมนุมประท้วงต่อนโยบายรัฐบาลทรัมป์ ความขัดแย้งทางนโยบายในทีมบริหารและที่ปรึกษา อาจส่งผลให้มีการทบทวนนโยบายการกีดกันการค้าและนโยบายอื่น ๆ ขณะที่ Elon เสนอเขตการค้าเสรีสหรัฐยุโรปภาษี 0% ส่วน Peter Navaro ที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์ยังผลักดันให้เก็บภาษีตอบโต้ เศรษฐกิจถดถอยลง อัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น จะสร้างแรงกดดันต่อการเดินหน้าต่อในการทำสงครามการค้าและการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าต่อประเทศต่าง ๆ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นไปแตะ 3-4% อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอาจโตไม่ถึง 1% จนสร้างแรงกดดันทางการเมืองให้มีการทบทวนนโยบายได้ มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ หายไป 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสองวัน และมีแนวโน้มยังอยู่ในช่วงชาลงต่อไป

นอกจาก กำแพงภาษีจากลัทธิกีดกันการค้าจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้าแล้ว ยังทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อย้ายฐานการผลิต การเก็บภาษีสินค้าไทยเพิ่มอีก 36% จากภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% อาจทำให้สินค้าส่งออกสหรัฐฯ สูงสุด 5 อันดับแรกย้ายฐานการผลิต ประกอบไปด้วย 1.คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (มูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 3.7 แสนล้านบาท สัดส่วนมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 19.23%) 2.โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (มูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 1.6 แสนล้านบาท สัดส่วนมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 8.45%) 3.อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์ 4.หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 5.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

สินค้า 15 รายการที่ส่งออกไปสหรัฐฯ สูงสุดส่วนใหญ่เป็นของบรรษัทข้ามชาติที่ใช้ไทยเป็นฐานผลิตส่งออก ยกเว้น ข้าว อาหารสัตว์และเครื่องนุ่งห่ม แม้สินค้าหลายตัวผลิตโดยบรรษัทข้ามชาติแต่โรงงานอยู่ในประเทศไทย เสียภาษีเงินได้ให้ไทย ย่อมกระทบต่อจีดีพีไทย กระทบต่อเศรษฐกิจไทย กระทบต่อการจ้างงานในประเทศ เมื่อการส่งออกเหล่านี้ลดลงอย่างมากจากกำแพงภาษีย่อมส่งผลต่อกระแสรายได้ การขยายของการผลิตในประเทศ ปัญหาการย้ายฐานผลิตของบรรษัทข้ามชาติในไทยจะเร่งตัวขึ้นหากประเทศอาเซียนอื่น ๆ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย สามารถรีบไปเจรจาต่อรองได้ก่อนและเจอกับภาษีนำเข้าต่ำกว่า

การเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการค้า (Trade Diversion) ที่ไม่ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของโลกอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดการสูญเสียสวัสดิการสังคมโลกโดยรวม (Social Deadweight Loss) จะนำมาสู่อัตราเงินเฟ้อโลกสูงขึ้นโดยเฉพาะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจสร้างแรงกดดันต่อการตัดสินใจในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ การรักษาระบบการค้าเสรีของโลกต้องยึดถือระเบียบการค้าโลกที่ตกลงเอาไว้ เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ หากระบบการค้าโลกไม่ขึ้นกับระเบียบ แต่ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองแบบไร้ระเบียบภายใต้ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ ระยะยาวแล้วจะไม่มีใครได้ประโยชน์ มีโอกาสในการเกิดความขัดแย้งทางเศรษฐกิจขยายวงกว้าง นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนความขัดแย้งทางการทหารได้

จากข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) พบว่ามาตรการทางการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่การตั้งกำแพงภาษี ตั้งแต่ปี 2552-2567 มีจำนวนรวมมากกว่า 60,000 มาตรการ โดยเป็นมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า 18,000 มาตรการ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของมาตรการการค้าที่ไม่ใช่กำแพงภาษีทั้งหมด แนวโน้มในปีหน้าการกีดกันทางการค้าโดยอ้างสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อมอาจเบาลงจากรัฐบาลสหรัฐฯในยุคโดนัล ทรัมป์ ที่ผ่านมามาตรการการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers, NTB) ในด้านสิ่งแวดล้อมที่มีจำนวนมากที่สุด คือ มาตรการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการด้านเทคนิค (Technical barrier to Trade :TBT) ที่บังคับใช้แล้ว ประเทศคู่ค้าหลักของไทย ที่มีการใช้มาตรการ NTB มากที่สุด คือ สหภาพยุโรป อันดับสองคือ สหรัฐอเมริกา

ขณะนี้สหรัฐฯ ยังไม่ได้นำเรื่อง NTB มาเป็นประเด็นในก่อสงครามทางการค้า แต่เราควรเตรียมรับมือประเด็นเรื่อง NTB ไว้ด้วย ไทยจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนการผลิตโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองมากขึ้นเมื่อเทียบกับการรับจ้างการผลิตพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองมากขึ้น ระบบการค้าโลกจะเป็นเรื่องของการต่อรองและการตอบโต้กันไปมามากกว่าการทำกฎระเบียบที่ตกลงกันไว้มาเป็นกรอบในการดำเนินการทางการค้า คือ จะเป็น Deal-Based มากกว่า Rule-Based มากขึ้น นโยบายเศรษฐกิจการค้าของรัฐบาลทรัมป์ 2 จะทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกย้ายออกจากประเทศจีนมากยิ่งขึ้น และ ลดการพึ่งพาต่อจีนมากขึ้น เอาการจ้างงานการผลิตสินค้ากลับมายังสหรัฐฯ เพิ่มการจ้างงานในประเทศ ลดการนำเข้า ลดการขาดดุลการค้า สงครามเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในการสกัดกั้นการไล่กวดของจีนจะเพิ่มความได้เปรียบของการผูกขาด (Monopolistic Advantage) ของบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ความได้เปรียบนี้เกิดขึ้นจากสองปัจจัย หนึ่งเป็นเทคโนโลยีพัฒนาโดยบริษัทสหรัฐฯและได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวด ปิดกั้นการลอกเลียนต่อยอด ข้อสองการกระจายสินค้าไฮเทคและการสร้างแบรนด์ที่ผู้อื่นลอกเลียนได้ยาก

ท่ามกลางสงครามการค้า ไทยควรวางสถานะ "อิสระอย่างมียุทธศาสตร์" การพิจารณาเข้าร่วมเป็นพันธมิตรฝ่ายใดให้พิจารณาเป็นรายประเด็นด้วยกลยุทธที่มีกรอบยุทธศาสตร์ผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ ท่ามกลางสงครามการค้า การย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ของบรรษัทข้ามชาติครั้งใหญ่อาจเกิดขึ้น ไทยต้องช่วงชิงโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่นี้ หากมีการวางยุทธศาสตร์และนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างเท่าทันต่อพลวัต ไทยอาจเจอข้อเรียกร้องจำกัดปริมาณส่งออกโดยความสมัครใจ (Voluntary Export Restraints:VER) ตามยุทธศาสตร์เจรจาการค้าแบบทวิภาคีของสหรัฐฯ

การกีดกันทางการค้าและเศรษฐกิจต่อจีน จะทำให้จีนต้องหาตลาดระบายสินค้าเพื่อรักษาระดับการผลิตและการจ้างงานภายในไม่ให้เศรษฐกิจเติบโตลดลงมากเกินไป การระบายสินค้าอาจนำมาสู่พฤติกรรมทุ่มตลาดได้ โดยเราสามารถแบ่งพฤติกรรมการทุ่มตลาดออกได้เป็นสี่ลักษณะด้วยกัน คือ การทุ่มตลาดอย่างถาวร (Persistent Dumping) การทุ่มตลาดเป็นครั้งคราว (Sparodic Dumping) การทุ่มตลาดเพื่อทำลายคู่แข่ง (Predatory Dumping) และการทุ่มตลาดเพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ (Market Penetration Dumping) ผู้ประกอบการไทยต้องประเมินว่าธุรกิจอุตสาหกรรมหรือกิจการที่ท่านอยู่นั้นเผชิญภาวะการทุ่มตลาดแบบไหน การทุ่มตลาดในบางลักษณะนั้นจะอาศัยกลยุทธ์ของการกำหนดราคาสินค้าให้ต่างระดับกันระหว่างตลาดต่าง ๆ ที่อุปสงค์มีความยืดหยุ่นต่อราคาในขนาดต่างกัน (Price Discrimination) และตลาดทั้งหลายสามารถแยกออกจากกันได้

การเคลื่อนย้ายจากตลาดราคาต่ำไปยังราคาสูงอาจทำได้ยากขึ้นอีกหากมีการสร้างกำแพงกีดกันทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี ตลาดระหว่างประเทศเป็นตลาดใหญ่ มีแหล่งผลิตจากประเทศต่างๆมาแข่งขันกัน อุปสงค์ในตลาดเช่นนี้จะมีความยืดหยุ่นมาก แต่ตลาดภายในประเทศมีขนาดเล็กและผู้บริโภคมีทางเลือกน้อย เส้นอุปสงค์จะมีความยืดหยุ่นน้อย ทฤษฎีพฤติกรรมของผู้ผูกขาดจะบอกให้ทราบว่าควรกำหนดราคาในตลาดต่างประเทศให้ต่ำกว่าราคาในตลาดภายในประเทศ ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) ของสินค้าผลิตในจีนนั้นต่ำมาก ฉะนั้นจึงสามารถกดราคาขายและทุ่มตลาดได้เต็มที่ การดิ่งลงของตลาดหุ้นทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำจะยังไม่จบ หากหลายประเทศใช้วิธีตอบโต้ทางการค้าเช่นเดียวกับจีนจะทำให้สถานการณ์การค้าและเศรษฐกิจโลกทรุดหนัก ปั่นป่วน ผันผวนมากกว่าเดิม ภาคส่งออกของไทยอาจติดลบได้มากกว่า 5% ย่อมทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีของไทยทั้งปีติดลบได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ