HILITE: ยอดจองงาน Motor Show พุ่ง 45% ดันภาพรวมตลาดรถยนต์ฟื้น-หนุนซัพพลายเชน EV เข้าไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 8, 2025 10:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) สรุปยอดจองรถยนต์ในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ครั้งที่ 46 ตลอดระยะเวลาของการจัดงาน 14 วัน ระหว่างวันที่ 24 มี.ค. - 6 เม.ย.2025 มีจำนวนรวม 77,379 คัน เพิ่มขึ้น +45% จากการจัดงานในปีก่อน โดยพบว่าสัดส่วนยอดจองรถแบ่งเป็นรถในกลุ่ม xEV ราว 65% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายรถยนต์จากจีน และรถยนต์ประเภทเอสยูวีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ยอดจองรถยนต์สันดาปอยู่ที่ราว 35% โดยค่ายรถยนต์ BYD แซงขึ้นมามียอดจองสูงสุด ตามมาด้วย Toyota, GAC Aion, Deepal และ Honda

เรามองเป็นบวกเล็กน้อยจากยอดจองรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นดี โดยเฉพาะยอดจองรถ EV จากค่ายรถยนต์จีนที่เพิ่มขึ้นมาก (แต่ผลกระทบต่อหุ้นใน SET จำกัด) ส่วนค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี ดังนั้น เราประเมินจะส่งผลบวกต่อยอดขายรถยนต์ในประเทศตั้งแต่ เม.ย.68 จะเริ่มทรงตัวได้ จากที่ลดลงมากต่อเนื่องตั้งแต่ปี 67 โดย H2/68 มีโอกาสกลับมาเติบโตได้จากฐานต่ำปีก่อน

โดยการผลิตรถยนต์ BEV จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าตามเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ยอดผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในปี 68 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ ส.อ.ท.ประเมินไว้ที่ 5.0 แสนคัน +8% YoY ทั้งนี้ เรายังประเมินยอดผลิตรถยนต์ปี 68 ที่ 1.45-1.50 คัน ทรงตัว YoY

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ยอดผลิตรถยนต์จะทำได้ต่ำกว่าเป้า จากการส่งออกรถยนต์ที่เริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะจากประเด็นสงครามการค้า ทำให้ประเทศคู่ค้าระมัดระวังการใช้จ่าย

กลุ่ม Automotive ยังให้น้ำหนัก underweight ไม่มี top pick โดย SAT (ถือ/เป้า 12.00 บาท) เราประเมิน SAT กำไรปี 2025E จะทรงตัวตามยอดผลิตรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากยอดผลิตรถกระบะที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ SAT ยังมีโอกาสลดลง จากปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านยอดขายรถยนต์ในประเทศยังอาจฟื้นตัวช้า และการส่งออกมีโอกาสชะลอตัวกว่าคาด ขณะที่อาจมีปัจจัยบวกทดแทนจากรายได้กลุ่มชิ้นส่วนเครื่องจักรกลการเกษตรที่ดีขึ้น

ยอดจองรถ EV ของจีนที่เพิ่มขึ้นมาก ยังมีผลบวกต่อหุ้นใน SET ค่อนข้างน้อย โดยเราประเมินยังไม่มีหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรง แต่จะมีผลบวกต่อหุ้นใน SET บางส่วน ได้แก่ หุ้นกลุ่มนิคมฯ (WHA, AMATA) จะมีการเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับ supply chain เข้ามาต่อเนื่องตามผู้ผลิตรถยนต์ EV และ SJWD ที่จะมีการรับงานให้บริการด้านโลจิสติกส์สำหรับรถ EV เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นไม่เกิน 10% มาจากบริการโลจิสติกส์ขนส่งรถยนต์ ขณะที่ทั้งกลุ่มนิคมฯ และ SJWD จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านสงครามการค้ามากกว่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ