ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 44 ในเดือน มี.ค.68 ภายใต้หัวข้อ "มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อการปรับกลยุทธ์รับมือสินค้านำเข้าจากจีน" ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด จำนวน 540 คน
พบว่าผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ประกอบกับปัญหาการระบายอุปทานที่ผลิตเกินความต้องการในจีน (Oversupply) เป็นปัจจัยกดดันให้เกิดการทะลัก (Flooding) ของสินค้าจีนมายังภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงไทยและอาเซียน
โดยผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่มองว่า การไหลทะลักเข้าของสินค้าจีน สร้างผลกระทบทำให้ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยลดลง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค รวมถึงยังกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากในภาพรวมราคาสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยประมาณ 20-40% ซึ่งเกิดจากความได้เปรียบด้านต้นทุนและเทคโนโลยีการผลิตของจีน สินค้าราคาถูกจำนวนมากที่เข้ามาทุ่มตลาดทำให้ผู้บริหาร ส.อ.ท.กังวลว่าผู้ประกอบการ SMEs ไทยจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน จนอาจทำให้บางอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตหรือปิดกิจการได้
ผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย มีปรับขั้นตอนการพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุนฯ (Countervailing Duty: CVD) ให้มีประสิทธิภาพและทันกับสถานการณ์ รวมทั้งพัฒนาระบบติดตามแจ้งเตือนปริมาณสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงผิดปกติ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่าผู้ประกอบการไทยจะต้องปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เร่งสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าไทย อาทิ การเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาบริการหลังการขาย ยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการผลิตเพื่อลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีนได้
ผลสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 44 ทั้ง 6 คำถาม ประกอยบด้วย
1) สินค้าที่ผลิตในประเทศได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดหรือไม่
อันดับ 1 : ได้รับผลกระทบ 70.9%
อันดับ 2 : ไม่ได้รับผลกระทบ 29.1%
2) จุดแข็งของสินค้าจีนที่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดประเทศไทยได้
อันดับ 1 : ราคาสินค้าที่ต่ำกว่าจากความได้เปรียบด้านต้นทุน และเทคโนโลยีการผลิต 90.7%
อันดับ 2 : มีความหลากหลายของสินค้า การผลิตแบบ OEM/ODM ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ผู้บริโภค 38.5%
อันดับ 3 : สินค้ามีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง 25.0%
อันดับ 4 : สินค้ามีการปรับปรุงคุณภาพให้ดีมากขึ้นและมีมาตรฐาน 12.6%
3) ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อปัญหาสินค้านำเข้าจากจีนและผลกระทบจากสงครามการค้าในเรื่องใด
อันดับ 1 : สินค้าราคาถูกจำนวนมากที่เข้ามาทุ่มตลาดส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs 72.2%
อันดับ 2 : การลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งผ่านด่านศุลกากรและแพลตฟอร์มออนไลน์ 52.4%
อันดับ 3 : การนำเข้าสินค้ามาสวมสิทธิ์ในการส่งออก หรือใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพียงส่วนน้อย 27.8%
อันดับ 4 : การขาดดุลการค้าและดุลการค้าที่ไม่สมดุล ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ 23.0%
4) สินค้านำเข้าจากจีนมีส่วนต่างราคาเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับสินค้าไทย
อันดับ 1 : ราคาต่ำกว่า 20-40% = 45.0%
อันดับ 2 : ราคาต่ำกว่า 10-20% = 21.1%
อันดับ 3 : ราคาต่ำกว่า 40% ขึ้นไป = 19.5%
อันดับ 4 : ไม่มีสินค้านำเข้าจากจีนในตลาด 11.1%
อันดับ 5 : ราคาไม่แตกต่าง หรือสินค้าไทยราคาต่ำกว่า 3.3%
5) ภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสินค้านำเข้าจากจีนอย่างไร
อันดับ 1 : เพิ่มความเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด และปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย 62.0%
อันดับ 2 : ปรับขั้นตอนการพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนฯ ให้มีประสิทธิภาพและทันกับสถานการณ์รวมทั้งพัฒนาระบบติดตามแจ้งเตือนปริมาณสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงผิดปกติ 44.6%
อันดับ 3 : ทบทวนเงื่อนไขการใช้เขตปลอดอากร (Free Zone) และออกมาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าเข้ามาสวมสิทธิ์ส่งออก 39.6%
อันดับ 4 : ส่งเสริมให้เกิดกระแสนิยมการบริโภคสินค้าไทย และสนับสนุนมาตรการทางภาษีสำหรับเอกชนที่ซื้อสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) 36.9%
6) ภาคอุตสาหกรรมมีกลยุทธ์แนวทางการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับสินค้าจีนอย่างไร
อันดับ 1 : สร้างจุดแข็งให้กับสินค้าโดยการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยกระดับบริการหลังการขาย 54.6%
อันดับ 2 : นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการผลิตเพื่อลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า 52.4%
อันดับ 3 : ยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน และปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น ISO, GMP, HACCP ฯลฯ 44.3%
อันดับ 4 : พัฒนาแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับและใช้ความคิดสร้างสรรค์ ในการออกแบบสินค้า 30.9%