ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 29-30 เม.ย.เมื่อคืนนี้ โดยเฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากหลายปัจจัยด้วยกัน รวมถึงราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัย และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก
รายงานการประชุมครั้งสุดนี้ เฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2551 ลงสู่ระดับ 0.3-1.2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อ 3 เดือนก่อนที่ระดับ 1.3-2.0% นอกจากนี้ เฟดเตือนว่าอัตราว่างงานอาจสูงขึ้นในปีนี้ด้วย
"การที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนเม.ย.นั้น เป็นการตัดสินใจตามมติที่เกือบจะเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด ที่ผ่านมานั้นเฟดคาดหวังว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายครั้ง ประกอบกับการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.68 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้"
"แต่ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นและตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ในภาวะตกต่ำ ทำให้เฟดตัดสินใจปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐลงสู่ระดับ 0.3-1.2% จากเดิมที่ระดับ 1.3-2.0% นอกจากนี้ เฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อและอัตราว่างงานในสหรัฐจะสูงขึ้นอีกในปีนี้" รายงานการประชุมของเฟดระบุ
"ในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 29-30 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยทั้งๆที่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญช่วงขาลงและคณะกรรมการบางคนกังวลว่าเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง" เฟดกล่าว
นอกจากนี้ เฟดระบุว่ารายได้ครัวเรือนของสหรัฐปรับตัวลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ราคาที่อยู่อาศัยตกต่ำลง และธุรกิจหลายประเภทประสบความยากลำบากในการขอวงเงินกู้ อย่างไรก็ตาม เฟดคาดว่าอุตสาหกรรมการส่งออกจะเป็นแหล่งทำเงินหลักของสหรัฐในปีนี้ เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เฟดคาดว่าอัตราว่างงานจะอยู่ในช่วง 5.5-5.7% ในปีนี้ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 5.2-5.3% และคาดว่าตลาดแรงงานสหรัฐจะยังคงตึงตัวต่อไปอีก ขณะเดียวกันเฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.1-3.4% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.1-2.4%
รายงานการประชุมของเฟดครั้งล่าสุด ขัดแย้งกับที่นายโดนัลด์ คอห์น รองประธานเฟดคาดการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และจากนั้นจะฟื้นตัวเร็วขึ้นในปีพ.ศ.2552 เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง
"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มดีขึ้นในปีหน้าเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ค่อยๆกระเตื้องขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมมองว่ามีปัจจัยลบหลายอย่างที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐยังเผชิญกับความไม่แน่นอน" นายคอห์นกล่าวในการประชุมผู้จัดการกองทุนที่นิวออร์ลีนส์
การปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดตลาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง 227.49 จุด หรือ 1.77% ปิดที่ 12,601.19 จุดเมื่อคืนนี้ และทำให้สกุลเงินดอลลาร์ร่วงอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ อีกทั้งยังทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 24-25 มิ.ย.นี้ สำนักข่าวเอพีรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--