
ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยแนวโน้มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ในปี 2568 ว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังคงดำเนินต่อไปทั่วโลก บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยความร่วมมือและพันธมิตรแบบดั้งเดิมอาจต้องปรับตัว ถึงแม้ว่าแนวโน้มต่าง ๆ อาทิ การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ และการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศใกล้เคียง จะได้รับความนิยมมากขึ้น
ทั้งนี้ สหรัฐฯ กำลังพยายามนำการผลิต และการดำเนินงานห่วงโซ่อุปทานของบริษัทสหรัฐอเมริกาในต่างประเทศ ให้กลับมาในประเทศ นอกจากนี้ การควบคุมการส่งออกแร่ธาตุที่จำเป็นของประเทศจีน ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป เนื่องจากทังสเตน และเทลลูเรียม เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

"ความขัดแย้งต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค อาจส่งผลเสียต่อการจัดหาวัสดุ และสินค้าคงคลังที่จำเป็น ส่งผลให้การวางแผนความต้องการของเซมิคอนดักเตอร์ มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ จำเป็นจะต้องมีความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อปรับกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทาน และข้อตกลงด้านราคา" บทวิเคราะห์ระบุ
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ มาตรการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ และการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานในอนาคต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ประเทศไทยพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมทั้งต้นน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ของโลก
ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้แบ่งการค้าเซมิคอนดักเตอร์ของไทย ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า (Integrated circuit: IC) และ 2. กลุ่มอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด (Diodes-Transistors Semiconductor: O-S-D) อีกทั้งรายงานว่า อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศไทยปรับตัวดีขึ้น หลังผ่านภาวะขาดแคลนชิปจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 โดยการนำเข้ากลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า เพิ่มขึ้นจาก 6.8 แสนล้านบาทในปี 2566 เป็น 8.7 แสนล้านบาทในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ การนำเข้าในปี 2567 มาจากไต้หวันมากที่สุดที่ 3.8 แสนล้านบาท ตามด้วยจีน ที่ 9 หมื่นล้านบาท และเกาหลีใต้ที่ 7.3 หมื่นล้านบาท โดยประเทศญี่ปุ่นซึ่ง ในอดีตเคยเป็น 3 อันดับแรก แต่ปัจจุบัน อยู่ในอันดับที่ 4 ที่มูลค่าราว 7.3 หมื่นล้านบาท โดยการนำเข้าทั้งหมดในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.พ.) คิดเป็นมูลค่าราว 1.3 แสนล้านบาท ลดลง 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับกลุ่มอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์ และไดโอด (O-S-D) การนำเข้าลดลงจากประมาณ 1.2 แสนล้านบาทในปี 2566 เหลือประมาณ 1.1 แสนล้านบาทในปี 2567 หรือลดลง 13% ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะนำเข้า O-S-D จากประเทศจีนมากที่สุดในปี 2567 แต่มูลค่าการนำเข้ากลับลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น โดยลดลง 34% เหลือราว 4.2 หมื่นล้านบาท ตามด้วยประเทศญี่ปุ่นที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และสหรัฐฯ ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ การนำเข้าทั้งหมดใน 2 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ลดลง 9.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดีลอยท์ ประเทศไทย ระบุว่า ประเทศไทยกำลังพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นที่สำคัญมากขึ้น ในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ประกาศให้สิทธิพิเศษการลงทุนมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท กับบริษัทในเครือจากไต้หวัน ที่เป็นผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ตามสัญญา หรือ contract electronics รายใหญ่ที่สุดในโลก ในการจัดตั้งโรงงานผลิตสำหรับการผลิตและส่งออกชิ้นส่วนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูง ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
รวมทั้งยังส่งเสริมบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ Power Electronics อันดับ 1 ของโลก ในการสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งที่ 3 ของโลกในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และศูนย์ข้อมูล และธุรกิจที่ใช้เครื่องมือจัดการพลังงานสะอาด โดยมีกำหนดเริ่มดำเนินการในปี 2569
นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ) ยังได้เห็นชอบกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์ การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงรับทราบแผนยุทธศาสตร์พัฒนาบุคลากรรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย เพื่อการพัฒนาบุคลากร และเพื่อเตรียมพร้อมรับคลื่นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ใหม่มูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ภายในปี 2572 อีกด้วย
ทั้งนี้ World Semiconductor Trade Statistics รายงานว่า ในปี 2567 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก มีการเติบโตขึ้นราว 19% โดยมียอดขายมูลค่า 627 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2568 จะมียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 697 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภูมิภาคอเมริกา และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าจะเติบโตถึง 2 หลัก เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่ 15% และ 10% ตามลำดับ
นอกจากนี้ จากรายงาน 2025 Global Semiconductor Industry Outlook ของดีลอยท์ คาดการณ์ว่ายอดขายชิป อาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 7.5% ระหว่างปี 2568-2573
จากข้อมูลเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2567 มูลค่าตามราคาตลาดรวมของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ 10 อันดับแรกของโลก สูงถึง 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 93% จาก 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ปี 2566
โดยชิปถูกนำไปใช้ในหลากหลายด้าน อาทิ เอ็นเตอร์ไพรส์เอดจ์ (Enterprise Edge) คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แอปพลิเคชัน และอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things: IoT) โดยชิปเหล่านี้ มักจะถูกใช้สำหรับ GenAI หรือ AI แบบดั้งเดิม (Machine Learning) หรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันยอดขายของอุตสาหกรรม คือ ความต้องการชิป GenAI และการเติบโตของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ (Data centre) ซึ่งหมายรวมถึงหน่วยประมวลผลกลาง (Central processing units: CPUs) หน่วยประมวลผลกราฟิกส์ (Graphics processing units: GPUs) ชิปสื่อสารสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และชิปพลังงาน เป็นต้น แม้ว่าความต้องการจากตลาดพีซี และมือถือเริ่มซบเซาลง ซึ่ง International Data Corporation (IDC) คาดการณ์ว่า ในปี 2568 ยอดขายสมาร์ทโฟน อาจเติบโตเพียง 6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่ยอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อาจเพิ่มขึ้นเพียง 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
พร้อมมองว่า ในปี 2568 ผู้บริหารอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ควรให้ความสำคัญในด้านต่อไปนี้
1. ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างการลงทุนจำนวนมากในเซมิคอนดักเตอร์สำหรับ GenAI และความสามารถของบริษัทต่าง ๆ ในการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ GenAI อย่างมีประสิทธิภาพ หลายธุรกิจยังคงยึดมั่นกับความเชื่อเมื่อปี 2568 ที่ว่า "ความเสี่ยงจากการลงทุนที่ไม่เพียงพอ มีมากกว่าความเสี่ยงจากการลงทุนที่มากเกินไป" อย่างไรก็ตาม ความต้องการชิป GenAI อาจลดลงมากกว่าที่คาดไว้ หากมุมมองนี้เปลี่ยนแปลงไป
2. การแข่งขันจากกลุ่มสตาร์ทอัพมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ก่อให้เกิดความท้าทายต่อผู้เล่นที่มีอยู่ก่อนแล้วในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ในทั้ง 3 ไตรมาสหลังของปี 2567 สตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับชิป ได้รับเงินลงทุนจากเวนเจอร์แคปปิตอล ประมาณ 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสัดส่วนของชิป AI สูงถึง 30% ซึ่งมีสตาร์ทอัพจำนวนมากที่สามารถเสนอโซลูชันเฉพาะทาง รวมถึงแอปพลิเคชันบนพื้นฐาน RISC-V ที่ปรับแต่งได้ ชิปเล็ต โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) วงจรรวมโฟโตนิก (ICs) และบริการออกแบบชิป
3. การคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ และตลาดสำคัญอื่น ๆ จะทยอยลดลง รวมถึงสภาพแวดล้อมด้านสินเชื่อ ที่เอื้ออำนวยอาจช่วยสนับสนุนการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการ (M&A) ในอุตสาหกรรมชิป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบริษัทที่มีทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่า แต่เริ่มตามหลังคู่แข่ง จะกลายเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และความขัดแย้งทางการค้าโลกอาจเป็นอุปสรรคต่อการทำข้อตกลง